การเพาะเลี้ยงไรน้ำนางฟ้า

Fairy Shrimp Culture

                                                                                                                                               รศ.ประภาส  โฉลกพันธ์รัตน์

        

                         ไรน้ำนางฟ้า ( Fairy Shrimps ) Shrimps ) Shrimps ) เป็นสัตว์น้ำจำพวกกุ้งที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำจืด ซึ่งพบในแหล่งน้ำธรรมชาติมานานแล้ว โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ชาวบ้านเรียกสัตว์ชนิดนี้ว่า ตัวเหนี่ยวหรือ แมงอ่อนช้อยหรือ แมงหางแดง หรือ แมงแงว หรือ แมงน้ำฝน โดยสามารถนำไรน้ำนางฟ้ามาประกอบอาหารได้ แต่ก็รู้จักกันอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากไรน้ำนางฟ้ามีวงชีวิตที่ไม่ต่อเนื่องตลอดทั้งปี และยังเป็นอาหารที่สัตว์น้ำต่างๆชอบกินรวมทั้งมนุษย์ ทำให้พบเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆในแหล่งน้ำธรรมชาติ นักวิชาการของกรมประมงได้เริ่มดำเนินการศึกษาวิธีการเพาะเลี้ยงไรน้ำนางฟ้ามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 โดยเรียกไรชนิดนี้ ว่า อาร์ทีเมียน้ำจืด เนื่องจากเป็นสัตว์น้ำที่มีความสำคัญทางการประมง คือเป็นอาหารมีชีวิตที่สำคัญต่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยเฉพาะการอนุบาลลูกปลาขนาดเล็กและใช้เลี้ยงปลาสวยงาม แต่ไม่ประสบผลสำเร็จในการเพาะเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าเท่าที่ควร เพราะไข่ของไรน้ำนางฟ้ามีระยะในการพักตัว ทำให้ดำเนินการฟักไข่ค่อนข้างยากมาก ในปี พ.ศ. 2536 ศ.ดร. ละออศรี เสนาะเมือง และทีมงาน จากภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ค้นพบไรน้ำนางฟ้าชนิดใหม่ของโลก และดำเนินการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับชีววิทยาและวิธีการเพาะเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าอย่างละเอียดมากขึ้น ทำให้แนวทางการเพาะเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าแจ่มใสขึ้น มีเกษตรกรและผู้เลี้ยงปลาสวยงามจำนวนมากให้ความสนใจและทดลองเลี้ยงไรน้ำนางฟ้า แต่ผู้เลี้ยงส่วนใหญ่ยังไม่ประสบผลสำเร็จในการเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าให้ได้ปริมาณมาก และเลี้ยงอย่างต่อเนื่องได้ เนื่องจากยังมีปัญหาในเรื่องของการฟักตัวของไข่ไรน้ำนางฟ้าที่ยังค่อนข้างต่ำ และการเตรียมอาหารของไรน้ำนางฟ้าให้เกิดอย่างต่อเนื่องได้

                ภาควิชาประมง คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ก็เป็นอีกหน่วยงานหนึ่งที่ให้ความสนใจในการศึกษาวิธีการเพาะเลี้ยงไรน้ำนางฟ้า ถึงแม้จะไม่ได้รับงบประมาณในการศึกษาวิจัยในเรื่องนี้ก็ตาม แต่ก็พยายามดำเนินการศึกษาเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งการศึกษาการเตรียมอาหารที่จะใช้เลี้ยงไรน้ำนางฟ้าในหลายรูปแบบ โดยเน้นไปที่วิธีการเลี้ยง Chlorella เพราะ Chlorella เป็นแพลงตอนพืชขนาดเล็กที่เจริญเพิ่มจำนวนได้อย่างรวดเร็วทำให้น้ำเปลี่ยนสีเป็นสีเขียว  หรือที่เรียกว่า การทำน้ำเขียวทำให้มีอาหารที่จะใช้เลี้ยงไรน้ำนางฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้ทีมงานผู้ดำเนินการศึกษา สามารถเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าและดำเนินการรวบรวมไข่ไรน้ำนางฟ้าได้อย่างง่ายๆ ได้จำนวนมาก และสามารถกระตุ้นให้ไข่เกิดการฟักตัวได้เร็ว โดยมีอัตราการฟักตัวค่อนข้างสูงมาก เป็นวิธีการที่เหมาะสมสำหรับฟาร์มปลาสวยงามที่จะผลิตไรน้ำนางฟ้าเพื่อใช้เลี้ยงปลาสวยงามในฟาร์ม หรือผลิตเพื่อจำหน่ายให้แก่ผู้ที่ต้องการใช้ไรน้ำนางฟ้าเป็นอาหารในการเลี้ยงปลาสวยงามได้ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการปรับปรุงวิธีการ และการทดลองซ้ำเพื่อให้เกิดความมั่นใจ เมื่อได้ผลเป็นที่แน่นอนแล้วจะได้นำเสนอรายละเอียดต่อไป

                การจัดลำดับทางอนุกรมวิธาน

              ไรน้ำนางฟ้าจัดเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เป็นสัตว์จำพวกกุ้ง ปู ( Crustacean )  จัดเป็นแพลงตอนสัตว์ขนาดใหญ่  คือ เมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดประมาณ  2.0 - 3.5  เซนติเมตร ชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม พบได้ในช่วงต้นฤดูฝนในแหล่งน้ำท่วม โดยเฉพาะในนาข้าว  Ruppert and Barnes (1994) จัดลำดับชั้นของไรน้ำนางฟ้าที่พบในประเทศไทย ไว้ดังนี้  

                Kingdom                                 :  Animalia

                     Phylum                              :  Arthropoda  

                         Subphylum                    : Crustacea

                             Class                        :  Branchiopoda

                                Subclass               :   Sarsostraca

                                    Order               :  Anostraca

                                        Family           :  Thamnocephalidae   

                                            Genus        :  Branchinella  Sayce, 1903   

                                        Family           :  Streptocephalidae 

                                            Genus        :  Streptocephalus  W. Baird, 1852 

             ลักษณะภายนอก                          

                 ไรน้ำนางฟ้ามีลำตัวยาวอ่อนนุ่ม แบ่งออกเป็นปล้องๆชัดเจน โครงร่างภายนอกเป็นเพียงเนื้อเยื่อบางๆไม่มีเปลือกแข็งหุ้มลำตัว แต่ก็มีการลอกคราบเช่นเดียวกับพวก crustacean เช่นกัน ลำตัวของไรน้ำนางฟ้าแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ หัว อก และท้อง 

                 ส่วนหัว (Head) มีลักษณะเด่นชัด มีตารวม (compound eyes) ขนาดใหญ่ที่มีก้านตา 1 คู่ มีหนวด 2 คู่ แบบไม่แตกแขนง (uniramous) คู่ที่ 1 มีขนาดเล็ก ส่วนคู่ที่ 2 ค่อนข้างยาว โดยเพศผู้หนวดคู่นี้จะขยายออกทำให้มีส่วนหัวใหญ่กว่าเพศเมีย  

                ส่วนอก (Thorax) แยกเป็นปล้องชัดเจน และมักมีจำนวน 13 ปล้อง (บางชนิดอาจมีมากกว่านี้) ส่วนของ 11 ปล้องแรกลักษณะคล้ายกันและมีขนาดใกล้เคียงกัน แต่ละปล้องจะมีระยางค์ 1 คู่ มีลักษณะแบนๆคล้ายใบไม้ (leaf-like appendages) ใช้ในการว่ายน้ำ กรองอาหาร และหายใจ เรียกระยางค์นี้ว่า phyllopods หรือ phyllopodia ส่วน 2 ปล้องสุดท้ายจะรวมกัน มีอวัยวะเพศยื่นออกมา คือเพศผู้จะมีท่อส่งน้ำเชื้อ (penis) 1 อัน ส่วนเพศเมียจะมีถุงไข่ 1 ถุง 

                ส่วนท้อง (Abdomen) แยกเป็นปล้องชัดเจนเช่นกัน มีจำนวน 6 ปล้อง แต่ละปล้องจะไม่มีระยางค์ ยกเว้นปล้องสุดท้ายจะมีระยางค์แบนๆเล็กๆแยกเป็น 2 แฉก มีสีแดงสด เรียกระยางค์นี้ว่า caudal rami หรือ "cercopods"  

.

ภาพที่ 1 แสดงลักษณะภายนอกและภายในของไรน้ำนางฟ้า  

                                               ที่มา : Ruppert and Barnes (1994)

.

                        นิเวศวิทยาและพฤติกรรม                          

              ไรน้ำนางฟ้าเป็นสัตว์น้ำจืดที่มีถิ่นที่อยู่ค่อนข้างจำกัดและพบเฉพาะในบางฤดูกาล คือจะพบเฉพาะในช่วงต้นฤดูฝนในแหล่งน้ำธรรมชาติตามแหล่งน้ำท่วม โดยเฉพาะในนาข้าว ทั้งนี้เนื่องจากเป็นอาหารที่ชื่นชอบของสัตว์น้ำชนิดอื่นๆ และไม่มีอวัยวะที่ใช้ในการป้องกันตัว เมื่อเจริญเติบโตจะเคลื่อนที่ในลักษณะหงายท้องว่ายน้ำไปเรื่อยๆ ทำให้ถูกปลาหรือสัตว์น้ำชนิดต่างๆจับกินได้อย่างง่ายดาย ประกอบกับมีวงชีวิตที่ไม่ต่อเนื่องตลอดทั้งปี ซึ่งไรน้ำนางฟ้าจะมีไข่ระยะพักตัว หรือที่เรียกว่า cyst เหมือนกับไรน้ำส่วนใหญ่  ไข่ระยะพักตัว หรือ cyst นี้จะถูกปล่อยทิ้งให้แห้งอยู่ตามพื้นแหล่งน้ำที่มีการแห้งลงในช่วงฤดูแล้ง เช่นในนาข้าว เมื่อเข้าสู่ฤดูฝนและมีฝนตกลงมามากพอจนทำให้แหล่งน้ำหรือนาข้าวที่แห้งไปแล้วนั้นมีน้ำขังอยู่พอควร ไข่ระยะพักตัว หรือ cyst ที่ตกอยู่ในดินก็จะฟักตัวออกมา และจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยกรองกินแพลงตอนพืชขนาดเล็กที่เกิดขึ้นในน้ำเป็นอาหาร ใช้ระยะเวลาเพียง 7 - 14 วัน ก็จะเจริญเป็นตัวเต็มวัยและมีความสมบูรณ์เพศ จากนั้นไรน้ำนางฟ้าจะสามารถแพร่พันธุ์ได้ 2 แบบ คือ แบบใช้เพศ (Sexual reproduction) และ แบบไม่ใช้เพศ (Asexual reproduction) ซึ่งจากการแพร่พันธุ์ทั้ง 2 แบบ ไรน้ำนางฟ้าเพศเมียสร้างไข่เข้ามาเก็บไว้ในถุงเก็บไข่ที่อยู่บริเวณส่วนท้ายของส่วนอก ไข่ดังกล่าวจะเป็นไข่ที่มีเปลือกหนา และจะถูกปล่อยออกจากถุงเก็บไข่ภายในเวลา 20 - 24 ชั่วโมง หลังจากนั้นภายในเวลา 4- 6 ชั่วโมง ไรน้ำนางฟ้าเพศเมียจะสร้างไข่ชุดใหม่เข้ามาในถุงฟักไข่ได้อีก แล้วถูกปล่อยออกไปเช่นเดิมเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีปลา หรือสัตว์น้ำชนิดอื่นๆเข้ามาในแหล่งน้ำแล้วกินไรน้ำนางฟ้าไป แต่ถ้าหากไม่ถูกสัตว์อื่นกินเป็นอาหาร ไรน้ำนางฟ้าจะมีอายุอยู่ได้ประมาณ 40 - 90 วัน แล้วแต่ชนิดของไรน้ำนางฟ้า สำหรับไข่ที่ไรน้ำนางฟ้าเพศเมียปล่อยออกมาจากถุงเก็บไข่นั้น จะตกลงอยู่ที่ก้นแหล่งน้ำโดยจะไม่ฟักตัว แต่ตัวอ่อนที่อยู่ในไข่ที่ยังมีน้ำขังในแหล่งน้ำจะมีการพัฒนาต่อไปจนเป็นตัวอ่อนที่สมบูรณ์ แล้วพักตัวอยู่ภายในไข่ จึงเรียกไข่ดังกล่าวว่า ไข่ระยะพักตัว หรือ cyst ซึ่งไข่ระยะพักตัว หรือ cyst นี้จะต้องพักรอจนแหล่งน้ำนั้นแห้งไปในปีนั้น แล้วรอจนฤดูกาลใหม่ของปีต่อมาเมื่อแหล่งน้ำได้รับน้ำฝนจึงจะฟักตัวออกมา                  

         ชนิดของไรน้ำนางฟ้าในประเทศไทย

                   นุกูล และ ละออศรี (2547) ได้รายงานเกี่ยวกับไรน้ำนางฟ้าชนิดใหม่ของโลกที่พบในประเทศไทย จำนวน 3 ชนิด ดังนี้

                       1. ไรน้ำนางฟ้าสิรินธร (Streptocephalus  sirindhornae  Sanoamuang, Murugan, Weekers & Dumont, 2000) ลำตัวใสหรือสีฟ้า  หางสีแดง ลำตัวยาวประมาณ 1.5 - 3.0 เซนติเมตร ไข่เป็นรูปทรงกลมคล้ายตะกร้อ  เป็นชนิดที่พบแพร่กระจายอยู่ทั่วไปในประเทศไทย ที่สำรวจพบแล้วในแหล่งน้ำจาก 38 จังหวัด ได้แก่ ขอนแก่น อุดรธานี หนองบัวลำภู มหาสารคาม ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ ยโสธร อำนาจเจริญ อุบลราชธานี สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ ชัยภูมิ นครราชสีมา น่าน มุกดาหาร นครพนม สกลนคร หนองคาย เลย ตาก ลำปาง แพร่ อุตรดิตถ์ เชียงราย สระบุรี เพชรบุรี ชัยนาท อุทัยธานี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ราชบุรี ลพบุรี และประจวบคีรีขันธ์

                     2. ไรน้ำนางฟ้าไทย (Branchinella thailandensis Sanoamuang, Saengphan & Murugan, 2002) มีลำตัวสีส้มแดงตลอดทั้งตัว ตัวยาวประมาณ 1.7 - 4.0 เซนติเมตร ไข่เป็นรูปทรงกลมคล้ายตะกร้อ แต่มีขนาดใหญ่กว่าไรน้ำนางฟ้าสิรินธร ที่สำรวจพบแล้วอยู่ในเขต 11 จังหวัด ได้แก่ ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด นครราชสีมา ชัยภูมิ ลพบุรี ชัยนาท กาญจนบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี และอุทัยธานี

                   3. ไรน้ำนางฟ้าสยาม (Streptocephalus  siamenesis Sanoamuang & Saengphan, 2006) ลักษณะ ตัวใส สีตัวบางครั้งเป็นสีฟ้าอ่อน หางสีแดง ตัวยาวประมาณ 1.1 - 2.0 เซนติเมตร มีไข่เป็นรูปสามเหลี่ยมคล้ายปิรามิด (tetrahedral eggs) เป็นชนิดที่หายากมาก ปัจจุบันพบที่จังหวัดสุพรรณบุรี และกาญจนบุรี เท่านั้น  

ภาพที่ 2 ถังไฟเบอร์ขนาด 2 ตารางเมตร ลึก 30 เซนติเมตร ที่ใช้เลี้ยงไรน้ำนางฟ้า

 

 

ภาพที่ 3 ไรน้ำนางฟ้าที่เลี้ยงในถังไฟเบอร์  

.

ผลการศึกษาการเพาะเลี้ยงไรน้ำนางฟ้า พ.ศ.2554

              จากการศึกษาวิธีการเพาะเลี้ยงไรน้ำนางฟ้ามาหลายปี  ทำให้พบวิธีการเก็บไข่  การกระตุ้นให้ไข่ฟักตัว  และแนวทางการเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าที่ให้ผลดี  ขณะนี้ดำเนินการเสร็จแล้ว อ่านผลการศึกษา

              เป็นการศึกษาทดลองที่ไม่ได้มีการรับทุนการศึกษาจากแหล่งใด ซึ่งจากการศึกษาวิธีการเพาะเลี้ยงไรน้ำนางฟ้ามาหลายปี  ทำให้พบข้อเท็จจริงใหม่ๆแตกต่างไปจากที่นักวิชาการส่วนใหญ่ได้เขียนไว้  พร้อมทั้งวิธีการเก็บไข่  การกระตุ้นให้ไข่ฟักตัว  และแนวทางการเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าที่ให้ผลดี  ดังนี้

ชนิดของไรน้ำนางฟ้าที่ศึกษา

              ไรน้ำนางฟ้าที่ใช้ในารศึกษาได้มาจากการออกพื้นที่ในช่วงฤดูร้อน  เดือนมีนาคม - พฤษภาคม พ.ศ. 2554  เพื่อเก็บตัวอย่างดินจากแปลงนาในอำเภอบ้านฝาง  และอำเภอบ้านทุ่ม  จังหวัดขอนแก่น  แล้วนำดินมาย่อยร่อนผ่านตะแกรง  จากนั้นจึงทยอยนำดินไปแช่น้ำในกะละมังเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 45 เซนติเมตร  แล้วเติมน้ำเขียวในวันถัดไปวันละ 1 ลิตร  ประมาณ 10 - 15 วัน จึงใช้กระชอนผ้าช้อนหาไรน้ำนางฟ้า  ผลการดำเนินการพบไรน้ำนางฟ้าจำนวน 2 ชนิด คือ 

        1. ดินจากแปลงนาในอำเภอบ้านฝาง พบไรน้ำนางฟ้าชนิด  ไรน้ำนางฟ้าไทย (Branchinella  thailandensis) ลำตัวมีสีส้มแดงตลอดทั้งตัว  โตเต็มวัยในเวลา 12 - 15 วัน  และมีความยาวประมาณ 2.0 - 3.0 เซนติเมตร  เพศเมียมีรังไข่สีขาวค่อนข้างยาว1 คู่ อยู่สองข้างของท่อทางเดินอาหาร  เริ่มจากส่วนต้นของส่วนอกไปจนถึงปล้องสุดท้ายของส่วนท้อง  ถุงไข่รูปรีเกือบกลม  ไข่ในถุงไข่ถ้าเป็นไข่อ่อนจะมีสีเทาอ่อน  เมื่อแก่พร้อมที่จะปล่อยออกจะมีสีส้ม  ถ้ามีอาหารสมบูรณ์  รังไข่จะมีการพัฒนาเห็นเด่นชัดตลอดเวลา  เมื่อปล่อยไข่จากถุงไข่แล้ว  ไข่ชุดใหม่จากรังไข่จะเกิดเข้ามาแทนที่ภายในเวลา 3-5 ชั่วโมง  สามารถปล่อยไข่จากถุงไข่ได้วันละ 1 ครั้ง  เพศผู้ที่พร้อมจะผสมพันธุ์จะเห็นถุงอันฑะสีขาวที่ส่วนท้ายของส่วนอก 1 คู่ อยู่สองข้างของท่อทางเดินอาหาร  และมีท่อส่งน้ำเชื้อ 2 ท่อ 

        2. ดินจากแปลงนาในอำเภอบ้านทุ่ม พบไรน้ำนางฟ้าชนิด  ไรน้ำนางฟ้าสิรินธร (Streptocephalus  sirindhornae) ลำตัวใสแกมแดง โตเต็มวัยในเวลา 15 - 20 วัน  และมีความยาวประมาณ 1.5 - 2.0 เซนติเมตร  เพศเมียมีรังไข่สีฟ้าอ่อน 1 คู่ อยู่สองข้างของท่อทางเดินอาหาร  เริ่มจากสองปล้องท้ายของส่วนอกไปถึงปล้องสุดท้ายของส่วนท้อง  ถุงไข่รูปรียาว  ไข่ในถุงไข่ถ้าเป็นไข่อ่อนจะมีสีฟ้าอ่อน  เมื่อแก่พร้อมที่จะปล่อยออกจะมีสีเทาแก่  ถ้ามีอาหารสมบูรณ์  รังไข่จะมีการพัฒนาเห็นเด่นชัดตลอดเวลา  เมื่อปล่อยไข่จากถุงไข่แล้ว  ไข่ชุดใหม่จากรังไข่จะเกิดเข้ามาแทนที่ภายในเวลา 3-5 ชั่วโมง  สามารถปล่อยไข่จากถุงไข่ได้วันละ 1 ครั้งเช่นกัน  แต่ขนาดของไข่จะเล็กกว่าไข่ของไรน้ำนางฟ้าไทย  เพศผู้ที่พร้อมจะผสมพันธุ์จะเห็นถุงอันฑะสีขาวที่ส่วนท้ายของส่วนอก 1 คู่ อยู่สองข้างของท่อทางเดินอาหาร    

               โดยดินจากแปลงนาทั้ง 2 แหล่งพบไรน้ำนางฟ้าเฉลี่ย 1 ตัว จากดินจำนวน 2 กิโลกรัม  เลี้ยงไรน้ำนางฟ้าแต่ละชนิดในกะละมัง  ทำการรวบรวมไข่ (cyst) เพื่อใช้ฟักตัวสำหรับการศึกษาต่อไป 

ภาพที่ 1  ไรน้ำนางฟ้าไทยเพศเมียที่มีรังไข่และถุงไข่สมบูรณ์

.

ภาพที่ 2  ไรน้ำนางฟ้าไทยเพศผู้ที่มีถุงอัณฑะและท่อส่งน้ำเชื้อสมบูรณ์

.

ภาพที่ 3 ไข่ของไรน้ำนางฟ้าไทย

.

ภาพที่ 4  ไรน้ำนางฟ้าสิรินธรเพศเมียที่มีรังไข่และถุงไข่สมบูรณ์

.

ภาพที่ 5  ไข่ของไรน้ำนางฟ้าสิรินธร

.

 

ภาพที่ 6  เปรียบเทียบขนาดของไรน้ำนางฟ้าไทย(บน-ล่างซ้าย)และไรน้ำนางฟ้าสิรินธร(กลาง-ล่างขวา)ที่อายุ 18 วันเท่ากัน

.

ภาพที่ 7  เปรียบเทียบสีและขนาดไข่ของไรน้ำนางฟ้าไทย(ซ้าย)และไรน้ำนางฟ้าสิรินธร(ขวา)

.

พฤติกรรมการผสมพันธุ์ของไรน้ำนางฟ้า

              จากการเฝ้าสังเกตพฤติกรรมการผสมพันธุ์ของไรน้ำนางฟ้า  ทำให้พบข้อเท็จจริงใหม่ที่ต่างไปจากจากเอกสาร  ตำรา  หรือข้อเขียนที่นักวิชาการทั้งของไทยและต่างประเทศได้เขียนไว้  กล่าวคือ นักวิชาการทั้งหลายได้รายงานไว้ว่า  พฤติกรรมการผสมพันธุ์ของไรน้ำนางฟ้าจะคล้ายคลึงกับพฤติกรรมการผสมพันธุ์ของอาร์ทีเมีย (Artemia) คือไรน้ำนางฟ้าเพศผู้จะใชหนวดคู่ที่ 2 ซึ่งมีขนาดใหญ่เกาะด้านหลังของเพศเมีย  แล้วว่ายน้ำติดกันไปเรื่อยๆ  

                  ผลจากการศึกษา  พบว่าพฤติกรรมการผสมพันธุ์ของไรน้ำนางฟ้าทั้ง 2 ชนิด คือ ไรน้ำนางฟ้าไทย และไรน้ำนางฟ้าสิรินทร  จะไม่มีพฤติกรรมการเกาะหลังเหมือนกับอาร์ทีเมีย (Artemia)  ซึ่งผู้ที่เคยเลี้ยงไรน้ำนางฟ้ามาแล้วก็คงจะไม่เคยเห็นว่าไรน้ำนางฟ้ามีการเกาะหลังว่ายน้ำติดกันไป   แต่จะมีวิธีการผสมพันธุ์โดยไรน้ำนางฟ้าเพศผู้จะว่ายน้ำเพื่อหาเพศเมียไปเรื่อยๆ  เมื่อพบเพศเมียที่มีรังไข่ที่สมบูรณ์(ไม่มีไข่ในถุงไข่)  จะว่ายน้ำเข้าไปใกล้ๆทางด้านข้างแล้วใช้หนวดคู่ที่ 2 ซึ่งมีขนาดใหญ่เกาะที่ส่วนอกเหนือรังไข่  จากนั้นจะงอตัวเอาส่วนอกบริเวณที่มีท่อส่งน้ำเชื้อไปอยู่เหนือส่วนอกบริเวณที่มีถุงไข่ของเพศเมีย  แล้วปล่อยถุงน้ำเชื้อเข้าไปในตัวเพศเมีย (คล้ายกับพฤติกรรมการผสมพันธุ์ของกุ้งทะเล)  จากนั้นเพศผู้จะผละออกจากตัวเพศเมียทันที  ซึ่งพฤติกรรมการผสมพันธุ์ของไรน้ำนางฟ้าดังที่กล่าวมานี้จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก  จนสังเกตุแทบไม่ทัน 

.  

วิธีการรวบรวมไข่ของไรน้ำนางฟ้า

              การเก็บรวบรวมไข่ (cyst) ของไรน้ำนางฟ้าจะยากกว่าการรวบรวมไข่ของอาร์ทีเมีย  เนื่องจากไข่ (cyst) ของไรน้ำนางฟ้าจะจมลงสู่พื้นก้นบ่อ  นอกจากนั้นวิธีการเก็บรวบรวมไข่ (cyst) และการกระตุ้นระหว่างการเก็บไข่ของไรน้ำนางฟ้า  จะมีผลต่ออัตราการฟักตัวจากไข่ของลูกไรน้ำนางฟ้าอย่างยิ่ง  เพราะนอกจากจะต้องใช้เวลาในการให้ไ่ข่ได้มีเวลาแช่อยู่ในน้ำนานหลายวันแล้ว (ตามที่ทีมงานของ ดร.ละออศรีค้นพบ)  ยังมีปัจจัยอื่นๆที่เกี่ยวข้องอีกหลายประการ คือ  

                1. ความสะอาด  ปัจจัยในเรื่องของความสะอาดแยกเป็น 2 ปัจจัยย่อย คือ

                      1.1 การเตรียมบ่อเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์  ควรเตรียมบ่อเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ไรน้ำนางฟ้าไว้โดยเฉพาะ  เป็นบ่อที่มีพื้นราบเรียบ ขนาดไม่ใหญ่มากนัก ควรเป็นบ่อที่มีการออกแบบขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อความสะดวกในการรวบรวมไข่ที่ตกลงที่พื้นก้นบ่อได้อย่างสะอาด และทำได้ทุกวัน หรือหากเก็บวันละไม่มากนักก็อาจใช้กะละมังความจุประมาณ 30-50 ลิตรก็ได้  

                      1.2 ภาชนะสำหรับรวบรวมไข่  เป็นภาชนะเล็กๆที่สามารถใส่น้ำเก็บไว้ได้ประมาณ 10-15 วัน โดยน้ำไม่ระเหยแห้งไปหมด เช่น กล่องพลาสติก กล่องโฟม ชาม หรือแก้วน้ำ  

                 ปัจจัยในเรื่องความสะอาดนี้ดำเนินการโดย ช้อนไรน้ำนางฟ้าที่สมบูรณ์เพศแล้วจากบ่อเลี้ยงมาปล่อยในบ่อพ่อแม่พันธุ์  อัตราประมาณ 5 ตัวต่อลิตร  อาจเน้นเลือกเพศเมียให้มากกว่าเพศผู้  กรองน้ำเขียวให้เป็นอาหาร เช้าวันต่อมาจึงรวบรวมไข่ของไรน้ำนางฟ้าที่จมอยู่ที่พื้นก้นบ่อ การเตรียมบ่อเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์แบบนี้จะช่วยให้รวบรวมไข่ได้ง่าย มีขยะหรือตะกอนติดมาน้อย และที่สำคัญ  ไข่ที่รวบรวมมาเกือบทั้งหมดมีอายุเท่ากัน คือ วันที่ 1 นอกจากนั้นหากเกิดความบอบช้ำกับตัวไรน้ำนางฟ้าจากวิธีการรวบรวมไข่ ก็จะเกิดเฉพาะในบ่อเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์เท่านั้น ไม่กระทบกับไรทั้งหมดในบ่อเลี้ยง จากนั้นทำความสะอาดไข่ที่รวบรวมได้โดยเทผ่านกระชอนช่องตาห่าง (ดูจากภาพที่ 10) เพื่อกำจัดตะกอนใหญ่ แล้วเทผ่านกระชอนผ้าโอล่อน (ผ้าตาถี่) ก็จะได้ไข่ของไรน้ำนางฟ้าที่พอจะสังเกตุเห็นได้ จึงนำไปใส่ในภาชนะสำหรับรวบรวมไข่ที่เตรียมไว้ โดยใส่น้ำไว้เกือบเต็ม

                 ภาพต่อไปนี้เป็นภาพชุดแสดงการใช้กะละมังความจุประมาณ 30 ลิตร เป็นบ่อเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ไรน้ำนางฟ้าไทย และขั้นตอนการรวบรวมไข่ (cyst) ของไรน้ำนางฟ้าไทย  

กะละมังความจุ 30 ลิตร ช้อนไรน้ำนางฟ้าตัวเต็มวัยจากบ่อเลี้ยงมา 120 ตัว เป็นไรเพศเมีย 80 ตัว ให้น้ำเขียวเป็นอาหารตามปกติ ไรน้ำนางฟ้าเพศเมียส่วนใหญ่จะปล่อยไข่จมลงสู่ก้นกะละมังทุกวัน ทุกเช้าจึงทำกาลักน้ำดูดไข่ที่ก้นกะละมังออกไปยังกะละมังเล็ก
ช้อนไรน้ำนางฟ้าที่ติดมาคืนกลับกะละมัง เตรียมกระชอนผ้าซึ่งหาซื้อได้จากร้านขายปลาสวยงาม กระชอนสีชมพูจะเป็นผ้านุ่มซึ่งไข่ของไรน้ำนางฟ้าจะลอดผ่านผ้าไปได้ ส่วนกระชอนผ้าสีขาวผ้าจะเนื้อหนากว่า ไข่ของไรน้ำนางฟ้าไทยจะลอดผ่านผ้าไม่ได้
เปรียบเทียบเนื้อผ้าของกระชอนทั้งสองชนิด
รินน้ำที่ได้ผ่านกระชอนเนื้อผ้าสีชมพูลงกะละมังใบใหม่ เขย่ากระชอนให้ไข่ของไรน้ำนางฟ้าผ่านกระชอนออกไปหมด จะเหลือเฉพาะเมือกและตะกอนใหญ่ติดผ้ากระชอน
 รินน้ำที่ได้ผ่านกระชอนเนื้อผ้าสีขาวลงกะละมังใบใหม่ เขย่ากระชอนฝุ่นและตะกอนเล็กจะผ่านกระชอนออกไปหมด จะเหลือไข่ของไรน้ำนางฟ้าไทยและตะกอนบางส่วนติดผ้ากระชอน
เมื่อยกกระชอนพ้นน้ำจะเห็นไข่ของไรน้ำนางฟ้าไทยได้ชัดเจน ภาชนะเก็บไข่ ใช้ถ้วยพลาสติกทรงสูงที่ใช้ตามร้านขายกาแฟ ตัดปากด้านบนออกให้เหลือความสูงประมาณ 8 เซนติเมตร

วักน้ำไล่ให้ไข่ของไรน้ำนางฟ้าไทยไปรวมกันอยู่กลางกระชอน

นำไปคว่ำเทจุ่มลงในถ้วยที่เตรียมไว้

ไข่ของไรน้ำนางฟ้าไทยจะจมลงก้นถ้วย จากไรน้ำนางฟ้าไทยเพศเมียที่นำมาเลี้ยงในกะละมัง 80 ตัว หากคิดให้มีการปล่อยไข่เพียงวันละ 40 ตัว (ซึ่งปกติจะได้มากกว่านั้น) และได้ไข่ตัวละ 200 ฟอง จะทำให้เก็บไข่ได้วันละประมาณ 8,000 ฟอง ถ้วยแต่ละใบสามารถรวบรวมไข่จากหลายกะละมังที่ได้ในวันเดียวกัน หากมีกะละมังเลี้ยง 10 ใบ จะรวบรวมไข่ของไรน้ำนางฟ้าไทยได้วันละประมาณ 1 แสนฟอง โดยใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที
ไข่ของไรน้ำนางฟ้าไทยที่รวบรวมจากกะละมังเลี้ยง 2 ใบ
อาจใช้ถาดโฟมเป็นภาชนะเก็บไข่ เหมาะสำหรับเก็บไข่ในปริมาณมาก เพราะกินพื้นที่
 นำถ้วยรวบรวมไข่ของไรน้ำนางฟ้าไทยไปตั้งเรียงเป็นแถว จะทำให้รู้อายุของไข่ที่รวบรวมไว้ จากภาพหมายเลข1-11  คือไข่ที่เก็บมาจากวันแรกจนถึง 11 วัน ดังนั้นถ้วยหมายเลข 1 จะถูกนำไปทำให้แห้งในขั้นตอนต่อไป เพราะถูกแช่น้ำมาครบ 10 วันแล้ว วันต่อไปเมื่อมีถ้วยใหม่มาเรียงต่อจากถ้วยที่ 11 ถ้วยที่สองก็จะถูกนำไปทำให้แห้งต่อไป ตามลำดับไปได้เรื่อยๆ ส่วนกะละมังเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ก็เติมน้ำเขียวให้ไรน้ำนางฟ้ามีอาหารกิน

จะมีความสมบูรณ์และปล่อยไข่ให้เก็บได้อีกในวันต่อไป

ภาพที่ 8  การใช้กะละมังความจุ 30 ลิตร เลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ และขั้นตอนการรวบรวมไข่ (cyst) ของไรน้ำนางฟ้า

.

.                   การแยกเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ถ้าไม่ต้องการจำนวนไข่มากนักต่อวัน อาจเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ในภาชนะที่เล็กลงไปอีก เช่น กะละมังขนาด 3-4 ลิตร ขวดเลี้ยงปลากัดขนาด 2 ลิตร (ขนาด 4 x 9 นิ้ว) คัดเฉพาะแม่พันธุ์ที่มีไข่แก่มาปล่อย 20-30 ตัว เช้าวันถัดมาก็สามารถเทรวบรวมไข่ได้ จะได้ไข่วันละ 4,000- 6,000 ฟอง อย่างง่ายดาย 

คัดไรน้ำนางฟ้าที่มีถุงไข่สมบูรณ์ 30 ตัว มาเลี้ยงในกะละมัง เช้าวันถัดมาเทผ่านกระชอนเพื่อรวบรวมไข่
หรือคัดไรน้ำนางฟ้าที่มีถุงไข่สมบูรณ์ 30 ตัว มาเลี้ยงในขวดเลี้ยงปลากัด เช้าวันถัดมาเทผ่านกระชอนเพื่อรวบรวมไข่
จะสามารถรวบรวมไข่ได้วันละประมาณ 6,000 ฟอง

ภาพที่ 9  การใช้กะละมังความจุ 4 ลิตร และขวดเลี้ยงปลากัดขนาด 2 ลิตร (ขนาด 4 x 9 นิ้ว) เลี้ยงแม่พันธุ์ไรน้ำนางฟ้าเพื่อรวบรวมไข่

.

                 สำหรับไรน้ำนางฟ้าสิรินธรซึ่งมีไข่ขนาดเล็กกว่าไรน้ำนางฟ้าไทย (ภาพที่ 7 ) ไข่จะสามารถรอดผ่านกระชอนผ้าเนื้อผ้าสีขาวออกไปได้ และกระชอนผ้าเนื้อหนาที่ไข่ไรน้ำนางฟ้าสิรินธรรอดผ่านไปไม่ได้จะไม่มีขายตามร้าน ต้องซื้อผ้าเนื้อหนามาเย็บทำกระชอนเอง

ผ้าไนล่อนธรรมดา (ผ้าโอล่อน) ที่นำมาทำกระชอนและมีขายตามร้าน (ผืนซ้าย) กับผ้าไนล่อนเนื้อหนา (ผืนขวา) เมื่อถ่ายขยายเนื้อผ้า
ท่อพีวีซีสำหรับเก็บไข่ไรน้ำนางฟ้าไทยที่ทำจากผ้าไนล่อนเนื้อธรรมดา ท่อพีวีซีสำหรับเก็บไข่ไรน้ำนางฟ้าสิรินธรที่ทำจากผ้าไนล่อนเนื้อหนา

ภาพที่ 10  เปรียบเทียบผ้าไนล่อนธรรมดาและผ้าไนล่อนที่เนื้อหนามากขึ้นเพือใช้เก็บไข่ไรน้ำนางฟ้าสิรินธร

.

                2. จำนวนวันในการแช่ไข่ (cyst) ของไรน้ำนางฟ้า  ปัจจัยในเรื่องจำนวนวันที่ควรจะแช่ไข่ (cyst) ของไรน้ำนางฟ้าไว้ในน้ำ จะขึ้นกับชนิดของไรน้ำนางฟ้าและความสะอาดในภาชนะสำหรับรวบรวมไข่ คือ

                      2.1 ไรน้ำนางฟ้าไทย  หากทำความสะอาดได้ดีจะแช่ไข่ (cyst) ของไรน้ำนางฟ้าไว้ในน้ำประมาณ 8-10 วัน ก็สามารถนำไข่ไปทำให้แห้งได้ แต่ถ้าไม่สามารถทำความสะอาดได้ดี ยังมีตะกอนหรือเมือกติดมามาก ก็ควรแช่ไข่ (cyst) ของไรน้ำนางฟ้าไว้ในน้ำประมาณ 14-20 วัน จึงนำไข่ไปทำให้แห้ง

                      2.2 ไรน้ำนางฟ้าสิรินธร  ไข่ (cyst) ของไรน้ำนางฟ้าสิรินธรจะมีความสามารถในการฟักตัวได้ คือ หากทำความสะอาดได้ดีเมื่อแช่ไข่ (cyst)  ของไรน้ำนางฟ้าสิรินธรไว้ 6 วัน ตัวอ่อนจะสามารถฟักออกจากไข่ได้ในวันที่ 7 และจะฟักตัวออกจนหมดทุกฟองในวันที่ 8-9 ดังนั้นจึงควรนำไข่ไปทำให้แห้งเมื่อแช่ไข่ได้ 6 วัน แต่ถ้าไม่สามารถทำความสะอาดได้ดี ยังมีตะกอนหรือเมือกติดมามาก ก็ควรแช่ไข่ (cyst) ของไรน้ำนางฟ้าสิรินธรไว้ในน้ำประมาณ 12-15 วัน จึงนำไข่ไปทำให้แห้ง  

เมื่อแช่ไข่ไรน้ำนางฟ้าไทยได้ครบ 8 หรือ 10 วันแล้ว ค่อย ๆ รินน้ำออกจากถ้วย เหลือน้ำเพียงเล็กน้อยเหนือไข่ที่อยู่ก้นถ้วย
เตรียมทรายสำหรับเป็นวัสดุกลบไข่ จะช่วยซับน้ำที่เหลืออยู่
เททรายให้ท่วมไข่หนาประมาณ 0.7-1.0 เซนติเมตร
อาจใช้ท่อพีวีซีเป็นภาชนะสำหรับตากไข่ ใช้ท่อพีวีซีหนาขนาด 2-3 นิ้ว ตัดให้สูงประมาณ 2 นิ้ว ใช้ผ้าติดด้านล่างโดยทาด้วยน้ำยาเชื่อมท่อพีวีซี ด้านซ้ายเป็นผ้าไนล่อนเนื้อหนาสำหรับเก็บไข่ไรน้ำนางฟ้าสิรินธร ด้านขวาเป็นผ้าไนล่อนธรรมดาสำหรับเก็บไข่ไรน้ำนางฟ้าไทย
 
เมื่อถ่ายขยายเนื้อผ้า นำถ้วยไข่ไรน้ำนางฟ้าที่ต้องการตากมาเทลงบนผ้าในท่อเอสล่อน
น้ำจะไหลผ่านออกไปหมดเหลือเฉพาะไข่บนเนื้อผ้า จะสามารถเก็บไข่เป็นรายวัน หรือรวมจำนวนมากจากวันเดียวหรือหลายวันก็ได้
นำไปตากแดดในตะกร้า ใช้กระจกปิดบนตะกร้ากันฝน และใช้แผ่นพลาสติคหรือวัสดุพลางแสงปิดด้านบนกระจกเพื่อไม่ให้ร้อนจัดจนเกินไป
อาจนำไปอบในลังโฟมที่ติดหลอดไฟขนาด 40 วัตต์ แง้มฝาลังโฟมเปิดออกพอควร เพื่อให้ความร้อนระบายออกไปบ้าง วางเทอร์โมมิเตอร์ไว้ตามภาพ
สังเกตุให้อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 37 องศาเซลเซียส ลังโฟมนี้สามารถอบได้ทั้งไข่ที่เก็บมาจากบ่อเลี้ยง ที่อาจมีตะกอนหรือดินติดมาปริมาณมากได้

ภาพที่ 11  วิธีการตากหรืออบไข่ (cyst) ของไรน้ำนางฟ้า

.

                3. วิธีการกระตุ้นให้ไข่ (cyst) ของไรน้ำนางฟ้าฟักตัวได้ดีขึ้น  ไข่ (cyst) ของไรน้ำนางฟ้าที่ทำให้แห้งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นไรน้ำนางฟ้าชนิดใด หากต้องการให้ไข่ฟักตัวได้ดีขึ้นจะต้องมีการกระตุ้น โดยอาศัยการเลียนแบบจากธรรมชาติ กล่าวคือ ไข่  (cyst)  ของไรน้ำนางฟ้าที่ตกอยู่ที่พื้นก้นแหล่งน้ำที่แห้งในฤดูแล้งนั้น เมื่อเข้าสู่ฤดูฝนกว่าที่จะมีฝนมากจนเริ่มมีน้ำท่วมขัง พื้นก้นแหล่งน้ำจะต้องเปียกแล้วแห้งหลายครั้งมาก่อน แสดงว่าในธรรมชาติไข่ (cyst) ของไรน้ำนางฟ้าจะต้องได้รับน้ำหลายครั้งก่อนการฟักตัว ดังนั้นการทำให้ไข่ของไรน้ำนางฟ้าฟักตัวได้ดีขึ้น จึงควรนำไข่ของไรน้ำนางฟ้าที่ทำให้แห้งสนิท 3-5 วันมาแล้ว มาทำให้ชุ่มน้ำเป็นเวลา 3-4 ชั่วโมง แล้วจึงนำไปผึ่งแดดให้แห้ง วันละครั้ง ทำวันเว้นวันประมาณ 3 ครั้ง เก็บแห้งไว้ 3-5 วัน ก็จะสามารถนำมาฟักซึ่งไข่จะมีการฟักตัวได้ดี   

ถ้าเก็บไข่แบบในถ้วยกลบทราย ก็เตรียมกระบอกฉีดน้ำ ฉีดน้ำลงไปบนทราย น้ำจะค่อย ๆ ซึมลงไปโดยไข่ของไรน้ำนางฟ้าไม่สามารถลอยออกจากทรายได้ (หากใช้วิธีรินน้ำลงไปจะทำให้ไข่บางส่วนลอยออกมาจากทราย เนื่องจากไข่ที่แห้งดีแล้วจะลอยน้ำ)
ฉีดนำ้จากกระบอกฉีดลงไปจนมีน้ำชุ่มเหนือพื้นทรายเล็กน้อยจึงหยุด แล้วตั้งทิ้งไว้ 3-4 ชั่วโมง รินน้ำที่เหนือพื้นทรายทิ้งไป แล้วนำถ้วยไปตากแดดหรืออบในกล่องโฟม
ถ้าเก็บไข่แบบใช้ท่อพีวีซี ก็เตรียมถ้วยใส่น้ำ วางท่อพีวีซีลงในน้ำ ไข่จะจมน้ำโดยยังติดอยู่ที่ผ้า ตั้งทิ้งไว้ 3-4 ชั่วโมง จึงยกท่อพีวีซีออก แล้วนำไปตากแดดหรืออบในกล่องโฟม

ภาพที่ 12  วิธีการกระตุ้นให้ไข่ (cyst) ของไรน้ำนางฟ้าฟักตัวได้ดีขึ้น

.

                 เนื่องจากการรวบรวมไข่ วิธีการเก็บไข่ และการตากไข่ของไรน้ำนางฟ้า สามารถดำเนินการได้หลายรูปแบบ แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละคน ดังนั้นอาจมีรูปแบบอื่นๆในการฟักไข่ (cyst) ของไรน้ำนางฟ้าอีกก็ได้  

ภาพที่ 13  ภาชนะอื่น ๆ ที่ใช้รวบรวมไข่ไรน้ำนางฟ้า เช่น ถ้วยขนม ถ้วยน้ำ กระดาษกรองทำเป็นกระทง หรือถ้วยไอสครีม

.

วิธีการฟักไข่ (cyst) ของไรน้ำนางฟ้า  

                 ไข่ (cyst) ของไรน้ำนางฟ้าที่ทำให้แห้งและผ่านการกระตุ้นแล้ว เมื่อนำมาใส่น้ำเพื่อให้ไข่ฟักตัว ไข่ที่แห้งสนิทดีจะลอยตัวที่ผิวน้ำ และมักจะลอยขึ้นไปติดแห้งอยู่ตามขอบของภาชนะที่ใช้ฟัก ทำให้ไข่ส่วนใหญ่ไม่ได้ฟักตัว ดังนั้นจึงนิยมใส่ไข่ของไรน้ำนางฟ้าลงในถุงผ้าโอล่อน เมื่อลูกของไรน้ำนางฟ้าฟักตัวก็จะลอดผ่านช่องตาของผ้าโอล่อนออกมาอยู่ในภาชนะ  

                 ไข่ของไรน้ำนางฟ้าไทยจะใช้เวลาในการฟักตัวประมาณ 10-14 ชั่วโมง ส่วนไข่ของไรน้ำนางฟ้าสิรินธรจะใช้เวลาในการฟักตัวค่อนข้างมาก คือใช้เวลาประมาณ 24-30 ชั่วโมง ตัวอ่อนของไรน้ำนางฟ้าทั้งสองชนิดที่ฟักออกจากไข่ จะมีขนาดค่อนข้างเล็กมาก และต้องการอาหารหลังจากการฟักตัว 4-6 ชั่วโมง อาหารที่เหมาะสมที่สุด คือ Chlorella หรือที่นักเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำนิยมเรียกว่า "น้ำเขียว"   

เตรียมถุงผ้าสำหรับฟักไข่ขนาดประมาณ 3 x 5 นิ้ว ถุงซ้ายมือเป็นผ้าไนล่อนธรรมดา สำหรับฟักไข่ไรน้ำนางฟ้าไทย ถุงขวามือเป็นผ้าไนล่อนเนื้อหนา สำหรับฟักไข่ไรน้ำนางฟ้าสิรินธร ถ้าเก็บไข่แบบในถ้วยกลบทราย เติมน้ำลงในถ้วยแล้วกวนหรือเขย่าถ้วยไปมา ไข่จะลอยออกจากทรายขึ้นมาผิวน้ำ
ไข่บางส่วนจะลอยติดอยู่ตามขอบถ้วย รินน้ำให้ไข่ไหลลงในถุงผ้า เติมน้ำลงในถ้วยพยายามไล่ไข่ตามขอบถ้วยแล้วเทลงถุงผ้า ทำหลาย ๆ ครั้งจนไข่ลงไปอยู่ในถุงผ้าหมด

ไข่ส่วนใหญ่จะลงไปอยู่ที่ก้นถุงผ้า

นำไข่ในถุงผ้าไปฟักในกะละมังความจุประมาณ 4 ลิตร

ถ้าเก็บไข่แบบใช้ท่อพีวีซี ก็นำท่อพีวีซีที่มีไข่ไปคว่ำฟักไข่ในกะละมังได้เลย ควรคว่ำเอาด้านผ้าขึ้นเพราะไม่ต้องการให้ไข่บางส่วนหลุดลอยออกจากท่อพีวีซี แล้วไปลอยติดเหนือขอบน้ำในกะละมัง ไข่ที่ลอยผิวน้ำมักไม่ฟักตัว และควรใช้ก้อนหินเล็ก ๆ วางให้ด้านหนึ่งของท่อพีวีซีเผยอขึ้น เพื่อให้มีการถ่ายเทของออกซิเจน และตัวอ่อนที่ฟักออกจากไข่จะว่ายน้ำออกจากท่อพีวีซีได้ง่ายขึ้น

ตัวอ่อนของไรน้ำนางฟ้าไทยที่ฟักตัวในวันแรก (สังเกตุในวงกลม) และเมื่ออายุ 2 วัน (ถ่ายในเช้าวันถัดไป คือห่างกัน 24 ชั่วโมง)

ภาพที่ 14  วิธีการฟักไข่ของไรน้ำนางฟ้า

 .

วิธีการเลี้ยงไรน้ำนางฟ้า

                การเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าสามารถเลี้ยงได้ทั้งในภาชนะ เช่นกะละมัง ถังพลาสติก ในบ่อซิเมนต์ และบ่อดิน อาหารหลักที่ใช้ในการเลี้ยง คือ Chlorella หรือที่นักเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำนิยมเรียกว่า "น้ำเขียว" ดังนั้นผู้ที่ต้องการเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าจำเป็นที่จะต้องศึกษาและทดลองเลี้ยง Chlorella ให้สามารถทำได้อย่างจริงจัง ปกติ "น้ำเขียว" ที่กล่าวถึงกันนั้นเป็นน้ำที่เกิดจากการแพร่ขยายของแพลงตอนพืชเซลเดียวที่ ที่อยู่ในสกุล Chlorella ซึ่งเป็นสาหร่ายเซลเดียวที่มีขนาดเล็กมาก ไรน้ำนางฟ้าซึ่งกินอาหารโดยการกรองอาหารจากน้ำเข้าปากที่มีขนาดเล็ก จึงสามารถกิน Chlorella เป็นอาหารได้อย่างดี และมีการเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นการเพาะเลี้ยง Chlorella หรือการทำน้ำเขียวจึงมีความสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าอย่างยิ่ง โดยสามารถขอหัวเชื้อ Chlorella ได้จากศูนย์วิจัยประมง ฯ หรือ สถานีประมง (แล้วแต่จังหวัด) หัวเชื้อสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้นาน 

                 สำหรับการเพาะเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าสามารถดำเนินการได้ ดังนี้

                1. การเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าในภาชนะขนาดเล็ก  การเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าในภาชนะขนาดเล็ก เช่น ถังพลาสติคสี่เหลี่ยม ถังน้ำ หรือ กะละมัง ที่มีความจุน้ำประมาณ 20-100 ลิตร                                  

                      1.1 การเพาะเลี้ยง Chlorella ควรเตรียมน้ำเขียว หรือเพาะเลี้ยง Chlorella ในภาชนะที่มีความจุประมาณ 50-200 ลิตร เช่นกะละมัง ถังซิเมนต์กลม หรือตู้กระจก ทำได้ดังนี้ 

                                1.1.1 การเพาะเลี้ยง Chlorella โดยการเลี้ยงปลา การทำน้ำเขียวโดยการเลี้ยงปลา เช่น ปลาหางนกยูง หรือ ปลาทอง ควรใช้บ่อซิเมนต์ขนาด ความจุ 100-200 ลิตร ตั้งอยู่ภายนอกอาคาร ได้รับแสงบ้างพอควร ถ้าเลี้ยงปลาหางนกยูง ควรเลี้ยงจำนวน 40-60 ตัว ถ้าเลี้ยงปลาทอง ควรเลี้ยงจำนวน 8-12 ตัว ใช้อาหารเม็ดเป็นอาหารตามปกติ (อาจใช้อาหารลูกกบ "ไฮเกร์ด" หรืออาหารเม็ดเล็กสำหรับลูกปลาดุกก็ได้) หลังจากปล่อยปลาลงเลี้ยงได้ 10 วัน จึงเติมหัวเชื้อ Chlorella ลงไปในบ่อปลาประมาณ 1 ลิตร ใช้เวลาเลี้ยงปลาต่อไปอีกประมาณ 10-20 วัน น้ำจะกลายเป็นน้ำเขียว การแพร่ขยายพันธุ์ของ Chlorella จนทำให้น้ำกลายเป็นน้ำเขียว จะเกิดได้รวดเร็วอย่างไรนั้น ยังขึ้นกับอุณหภูมิ ความเข้มแสง จำนวนปลาหางนกยูง และปริมาณอาหารที่ใช้เลี้ยง  

      หมายเหตุ    ไม่ควรใส่ปลาและให้อาหารมากเกินไป เพราะความเขียวของน้ำที่เกิดขึ้น จะไม่ใช่เกิดจาก Chlorella เพียงชนิดเดียว แต่จะมีแพลงตอนพืชอื่น ๆ เกิดขึ้นมากด้วย และมักจะมีขนาดใหญ่ซึ่งไรน้ำนางฟ้าไม่สามารถกรองกินเข้าปากได้ นอกจากนั้นหากมีสารประกอบไนโตรเจนที่เกิดจากการให้อาหารปลามากเกินไป จะทำให้เกิดแพลงตอนพืชกลุ่มสีน้ำเงินแกมเขียว ซึ่งจะมีผลทำให้ไรน้ำนางฟ้าตายได้อย่างรวดเร็ว 

                                 1.1.2 การเพาะเลี้ยง Chlorella โดยการใช้หญ้าแห้งและอาหารปลา การทำน้ำเขียววิธีนี้ใช้ภาชนะขนาดความจุ 50-100 ลิตร เช่นกะละมัง หรือถังซิเมนต์ ตั้งภาชนะในบริเวณที่ได้รับแสงแดดมากพออควร ใช้หญ้าชนิดใดก็ไดที่้ตากแห้งแล้วประมาณ 1 กำมือ ใส่ลงไป และใช้อาหารลูกปลาดุก 1-2 ช้อนชา แช่น้ำไว้ในถ้วยนานประมาณครึ่งชั่วโมง เทลงกระชอน ใช้มือบีบให้อาหารเละผ่านกระชอนออกไป แล้วนำไปเทลงในภาชนะที่เตรียมไว้ หลังจากนั้น 5 วัน จึงเติมหัวเชื้อ Chlorella ลงไปประมาณ 1 ลิตร  (เติมอาหารปลาดุกตามวิธีดังกล่าวนี้ทุก 3-4 วัน ส่วนหญ้าแห้งใส่เพียงครั้งเดียว) ทำต่อไปประมาณ 15-25 วัน น้ำจะกลายเป็นน้ำเขียว    

      หมายเหตุ    ไม่ควรใส่อาหารปลามากเกินไปจะทำให้น้ำเน่า    

.

การทำน้ำเขียวโดยเลี้ยงปลาหางนกยูงในบ่อความจุประมาณ 40 ลิตร ปล่อยปลาหางนกยูงประมาณ 50 ตัว
ใช้เวลาเลี้ยงปลา 30 วัน เมื่อลองช้อนปลาจะเห็นว่าน้ำมีสีเขียว อุปกรณ์สำหรับเก็บน้ำ

ตักน้ำผ่านกระชอนเพื่อไม่ต้องการให้มีปลาหางนกยูงติดไปกับน้ำ

จะตักน้ำไปใช้ได้วันละ 4-6 ลิตร แล้วเติมน้ำใหม่ลงในบ่อปลา Chlorella จะสามารถแพร่พันธุ์ได้ทันกับปริมาณที่ถูกตักออกไป น้ำจะเขียวได้ตลอด

การทำน้ำเขียวโดยเลี้ยงปลาหางนกยูงในกะละมังความจุประมาณ 50 ลิตร ใช้อาหารลูกปลาดุกเป็นอาหาร ก็ทำให้เกิดน้ำเขียวได้ดีนำไปใช้ได้วันละประมาณ 8-10 ลิตร

การทำน้ำเขียวโดยเลี้ยงปลาทองในตู้ความจุประมาณ 180 ลิตร

ปล่อยปลาทองประมาณ 10 ตัว ใช้เวลาเลี้ยงปลา 30 วัน จะเห็นว่าน้ำมีสีเขียวกว่าตอนเริ่มปล่อยเลี้ยง

การทำน้ำเขียวโดยใช้หญ้าแห้งและอาหารปลาในบ่อความจุประมาณ 50 ลิตร ใช้เวลา 30-40 วันน้ำจะเขียว
การทำน้ำเขียวโดยใช้ปุ๋ยมูลสัตว์ (มูลไก่) ในถังไฟเบอร์ความจุประมาณ 600 ลิตร ใช้เวลา 30-40 วันน้ำจะเขียว
การใส่อาหารปลา ใช้อาหารลูกปลาดุกแช่น้ำจนนิ่ม แล้วเทใส่กระชอนผ้า
ใช้มือบีบให้อาหารเละผ่านกระชอนผ้าออกไปในน้ำ แล้วนำไปเทลงในกะละมัง
เมื่อต้องการใช้น้ำเขียวจะต้องเตรียมผ้าไนล่อนเนื้อหนามาก จะเนื้อแน่นกว่าผ้าที่นำมาใช้เก็บไข่ไรน้ำนางฟ้าสิรินทร
นำผ้ามาเย็บเป็นกระชอน (ด้านซ้าย) น้ำเขียวที่เกิดจาก Chlorella เมื่อตักมาเทผ่านกระชอน จะต้องไหลผ่านกระชอนอย่างสะดวก
สามารถไหลผ่านผ้ากระชอนออกไปได้จนหมด ไม่มีคราบสีเขียวติดค้างกระชอน เมื่อกรองแล้วจะสามารถนำไปเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าได้
น้ำเขียวที่เกิดจาก Chlorella ไม่ว่าจะเขียวมากหรือน้อย เมื่อตักใส่แก้วทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมง จะไม่ตกตะกอน

ภาพที่ 15  วิธีการเพาะเลี้ยง Chlorella หรือการทำน้ำเขียว และวิธีการใช้น้ำเขียว

.

การทำน้ำเขียวไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม เมื่อเกิดการหมักหมมมากเกินไป จะมีแพลงตอนพืชชนิดอื่นเกิดขึ้น โดยเฉพาะแพลงตอนในกลุ่มสีน้ำเงินแกมเขียว น้ำจะมีสีเขียวเข้ม หรืออาจมีกลิ่นเหม็น เมื่อตักไปกรองผ่านกระชอน น้ำจะไหลผ่านค่อนข้างยาก
เมื่อพยายามเขย่ากระชอน จะพบว่ามีคราบสีเขียวติดที่ผ้ากระชอน หากนำน้ำที่กรองได้ไปเลี้ยงไรน้ำนางฟ้า ไรน้ำนางฟ้าจะทยอยตายไป

หรือใช้แก้วตักน้ำเขียวดังกล่าวตั้งทิ้งไว้ 1-2 ชั่วโมง จะเห็นว่ามีการตกตะกอนของแพลงตอน น้ำส่วนบนจะใส

ภาพที่ 16  ลักษณะน้ำเขียวที่ไม่ได้เกิดจาก Chlorella

.

      ข้อควรจำ     1. ควรดำเนินการจนได้น้ำเขียวอย่างแน่นอนแล้ว แล้วลองตักน้ำเขียวเทผ่านกระชอนผ้าเนื้อหนา หากน้ำไหลผ่านกระชอนได้อย่างง่ายดาย แสดงว่าได้น้ำเขียวที่เกิดจาก Chlorella นำไปใช้เลี้ยงไรน้ำนางฟ้าได้ดี จึงค่อยเริ่มฟักไข่ของไรน้ำนางฟ้า   

                    2. การเลี้ยงน้ำเขียวในภาชนะควรเตรียมไว้ 2 บ่อ เนื่องจากเป็นการเลี้ยงแพลงตอนในภาชนะขนาดเล็ก การขึ้น-ลง (เกิดมากหรือลดลง) จะเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก หากบ่อใดเปลี่ยนแปลงจะยังมีอีกบ่อที่ใช้เป็นอาหารได้ การขาดอาหารจะทำให้ไรน้ำนางฟ้าตายได้อย่างรวดเร็ว  

                    3. หากต้องการใชัน้ำเขียวปริมาณมาก สามารถดำเนินการทำน้ำเขียวในบ่อซิเมนต์ขนาดใหญ่ได้ โดยการคำนวณ (ประมาณ) เพิ่มจำนวนหญ้าแห้งและอาหารปลา

                    4. การเลี้ยงน้ำเขียวด้วยหญ้าแห้ง อาหารปลา หรือมูลสัตว์ ในช่วงแรก ๆ จะเกิดแพลงตอนสัตว์มาก ไม่ว่าจะเป็นแบคทีเรีย โปรโตซัว และไรน้ำ จะต้องทิ้งไว้ประมาณ 30-40 วัน ให้อาหารของแพลงตอนสัตว์หมดไป จะทำให้แพลงตอนสัตว์หมดไปด้วย การทำน้ำเขียวโดยการเลี้ยงปลาหางนกยูงค่อนข้างจะให้น้ำเขียวที่ดี เนื่องจากแพลงตอนสัตว์จะถูกปลาหางนกยูงกินไปหมด

                    5. การเลี้ยงน้ำเขียวควรเตรียมหัวเชื้อของ Chlorella และน้ำเขียวที่ได้ในช่วงแรก ๆ ควรเก็บไว้เป็นหัวเชื้อของการเลี้ยงในครั้งต่อ ๆ ไป

.

                      1.2 การฟักไข่ไรน้ำนางฟ้า อาจฟักไข่ไรน้ำนางฟ้าในกะละมังขนาดความจุประมาณ 3 ลิตรก่อน จะทำให้สังเกตุจำนวนไรน้ำนางฟ้าที่ฟักตัวได้ง่าย ควรเริ่มดำเนินการฟักไข่ในตอนเย็น เมื่อไรน้ำนางฟ้าฟักตัวในเช้าวันถัดไปจะดำเนินการปล่อยลงบ่อเลี้ยงและให้อาหารได้ง่าย   

                      1.3 การดำเนินการเลี้ยง มีขั้นตอนการเลี้ยง ดังนี้ 

                                1.3.1 การตั้งภาชนะ ควรตั้งภาชนะที่จะใช้เลี้ยงในที่ร่ม หากจำเป็นต้องวางกลางแจ้งให้ใช้วัสดุปิดบนภาชนะ ประมาณ 4 ใน 5 ส่วน ต้องการให้รับแสงแดดน้อยที่สุด เนื่องจากอาหารที่ใช้เลี้ยงไรน้ำนางฟ้า คือ น้ำเขียว (แพลงตอนพืช) ซึ่งเมื่อได้รับแสงแดดก็จะมีการสังเคราะห์แสง และให้ออกซิเจนออกมาในน้ำ ออกซิเจนที่ปล่อยออกมานี้หากมีมากเกินไป จะเกิดเป็นฟองอากาศเล็ก ๆ ขึ้นที่ตัวไรน้ำนางฟ้า จะทำให้ไรน้ำนางฟ้าตายได้ โดยเฉพาะไรน้ำนางฟ้าอายุ 1-3 วันแรก จะตายจากสาเหตุนี้ได้ง่ายมาก ไรมักจะตายหมดในช่วง 3-4 วันแรกของการเลี้ยง       

                                1.3.2 การเติมน้ำและอาหาร (น้ำเขียว) ช่วงแรกควรเติมน้ำลงไปประมาณครึ่งภาชนะ นำไรน้ำนางฟ้าที่ฟักตัวแล้วมาปล่อย การเติมน้ำใหม่และน้ำเขียว (สำหรับภาชนะเลี้ยงความจุประมาณ 50 ลิตร) อาจทำได้ ดังนี้ 

           - วันแรก เช้า เติมน้ำเขียวประมาณ 1 ลิตร (1 ขัน) 

           - วันที่สอง เช้า เติมน้ำเขียวประมาณ 1 ลิตร (1 ขัน) และน้ำใหม่ 3 ลิตร (น้ำใหม่กระตุ้นการเติบโต) 

           - วันที่สาม เช้า เติมน้ำเขียวประมาณ 2 ลิตร (2 ขัน) และน้ำใหม่ 3 ลิตร 

           - วันที่สี่ เช้า เติมน้ำเขียวประมาณ 2 ลิตร (2 ขัน) และน้ำใหม่ 3 ลิตร 

           - วันที่ห้า เช้า เติมน้ำเขียวประมาณ 2 ลิตร (2 ขัน) และน้ำใหม่ 3 ลิตร 

           - หลังจากวันที่ห้า การเติมน้ำเขียวและน้ำใหม่ต้องมีการสังเกตุ คือ หลังจากเติมน้ำเขียว และน้ำใหม่ในตอนเช้าแล้ว ในตอนเย็นต้องสังเกตุว่าไรน้ำนางฟ้ากินอาหารหมดหรือไม่ ดูจากความเขียวของน้ำ ถ้าน้ำในบ่อเลี้ยงใสหรือค่อนข้างใสก็เติมน้ำเขียวเพิ่มอีก 1-2 ลิตร ในกรณีที่น้ำในบ่อเลี้ยงเต็ม ก่อนเติมน้ำเขียวและน้ำใหม่ก็วิดน้ำออกก่อน โดยวิดน้ำผ่านกระชอนผ้า (ดูภาพประกอบ)

           - ประมาณ 10-12 วัน ไรน้ำนางฟ้าจะเติบโตมีขนาด 1.5-2.5 เซนติเมตร สามารถนำไปเลี้ยงปลาได้อย่างดี ความรวดเร็วของการเติบโตจะขึ้นกับชนิดของไรน้ำนางฟ้า ไรน้ำนางฟ้าไทยจะกินอาหารเก่งมาก สามารถเติบโตมีขนาด 2.0-2.5 เซนติเมตร ภายในเวลา 10 วัน ส่วนไรน้ำนางฟ้าสิรินทรอาจต้องใช้เวลา 12-15 วันจึงเติบโตได้ขนาด 2.0 เซนติเมตร นอกจากนั้นการเติบโตของไรน้ำนางฟ้ายังขึ้นกับความหนาแน่นในการปล่อย รวมทั้งขนาดบ่อและการดูแลให้อาหาร 

.

ตัวอ่อนของไรน้ำนางฟ้าไทยที่ฟักตัวในวันแรก (สังเกตุในวงกลม) และเมื่ออายุ 2 วัน (ถ่ายในเช้าวันถัดไป คือห่างกัน 24 ชั่วโมง)
เมื่ออายุ 3 วัน เมื่ออายุ 10 วัน จะสมบูรณ์เพศ สังเกตุความแตกต่างของเพศผู้และเพศเมียได้ง่าย เพศเมียมีการสร้างถุงไข่
การเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าในกะละมังความจุประมาณ 50 ลิตร เมื่อเติมน้ำเขียวให้เป็นอาหาร หลังจากนั้น 2 ชั่วโมง น้ำจะเริ่มใส สังเกตุที่ตัวไรจะเห็นเส้นสีดำตลอดลำตัว และมีเส้นสีดำ (มูล) ต่่อยาวออกมาจากปลายหาง
น้ำจะใสขึ้นเรื่อย ๆ  เช้าวันถัดมาน้ำจะใสจนมองเห็ก้นกะละมังได้ชัด
ในฤดูหนาวก็สามารถเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าได้ โดยใส่ฮีตเตอร์ 100 วัตต์ ก็เจริญเติบโตได้ดี
สิ่งสำคัญ คือ กรองน้ำเขียวผ่านผ้าเนื้อแน่นทุกครั้งที่ใส่ลงบ่อเลี้ยง โดยเฉพาะน้ำเขียวที่ได้จากการเลี้ยงด้วยหญ้าแห้งและอาหารปลา เพื่อป้องกันไรน้ำอื่น ๆ ที่จะลงไปทำอันตรายไรน้ำนางฟ้า และใช้วัสดุปิดปากบ่อเลี้ยง เพื่อไม่ให้มีแสงจัดมากไป
       
เพราะเมื่อได้รับแสงแดด แพลงตอนพืชจะสังเคราะห์แสงแล้วให้ออกซิเจนออกมา ดังภาพถ้าตักน้ำเขียวใส่แก้วตั้งให้รับแสง ภายใน 1 ชั่วโมงจะเกิดฟองของออกซิเจนเกิดขึ้นให้เห็นได้

ภาพที่ 17  การเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าในภาชนะ

.

                2. การเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าในภาชนะขนาดใหญ่ และในบ่อดิน  การเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าในภาชนะขนาดใหญ่ เช่น ถังไฟเบอร์ หรือบ่อซิเมนต์ และในบ่อดิน

                      2.1 การเพาะเลี้ยง Chlorella ควรเตรียมน้ำเขียว หรือเพาะเลี้ยง Chlorella ในบ่อดินขนาดตั้งแต่ 100-600 ตารางเมตร ขึ้นกับปริมาณไรน้ำนางฟ้าที่ต้องการเลี้ยง การเตรียมน้ำเขียวในบ่อดินควรทำโดยการเลี้ยงปลา ชนิดปลาที่ควรปล่อยเลี้ยง ได้แก่ ปลาไน หรือปลานิล จำนวน 2 ตัวต่อตารางเมตร และปล่อยปลาที่จะช่วยกินไรน้ำต่าง ๆ ได้ เช่น ปลาสลิด หรือปลากระดี่ จำนวน 1 ตัวต่อตารางเมตร ไม่ควรปล่อยปลาที่กรองกินแพลงตอน เช่น ปลาเล่ง เลี้ยงปลาเป็นเวลา 1-2 เดือน ขึ้นกับขนาดปลาที่ปล่อยเลี้ยง เมื่อน้ำเขียวได้ที่แล้วจึงติดตั้งเครื่องสูบนำแบบจุ่มไว้ จะสามารถสูบน้ำเขียวไปยังบ่อเลี้ยงได้สะดวก                 

                      2.2 การดำเนินการเลี้ยง หากเลี้ยงในถังไฟเบอร์ ควรวางถังไฟเบอร์ในที่ร่มหรือใช้วัสดุปิดปากถัง เช่นเดียวกับการเลี้ยงในภาชนะขนาดเล็ก แต่ถ้าเลี้ยงในบ่อดินก็ควบคุมเรื่องความเขียวของน้ำ อย่าให้น้ำในบ่อเลี้ยงเขียวมากเกินไป การฟักไข่ไรน้ำนางฟ้าก็สามารถทำได้ทั้งในถังไฟเบอร์ หรือในบ่อดินเลย หรือฟักในภาชนะขนาดเล็กก่อนก็ได้  

      หมายเหตุ    การเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าในภาชนะขนาดใหญ่ หรือในบ่อดิน จะดำเนินการเลี้ยงได้ง่ายกว่าในภาชนะขนาดเล็ก สิ่งสำคัญคือ ต้องดำเนินการเตรียมการเลี้ยง Chlorella หรือทำน้ำเขียวให้ได้ก่อน  

.

การเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าในถังไฟเบอร์ จะได้ไรน้ำนางฟ้ามากพอควร

การเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าในบ่อซิเมนต์์ จะได้ไรน้ำนางฟ้าจำนวนมากและสะดวกในการระบายน้ำ

ภาพที่ 18  การเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าในถังไฟเบอร์และในบ่อซิเมนต์

.

ภาพที่ 19  การเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าในถังไฟเบอร์โดยใช้น้ำเขียวจากบ่อเลี้ยงปลานิล

.

      ข้อควรจำ    การเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าให้ประสบผลสำเร็จ มีข้อควรพิจารณาดังนี้  

         1. น้ำเขียวมีความสำคัญต่อการเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าอย่างยิ่ง น้ำเขียวที่ได้อาจไม่สามารถใช้เลี้ยงไรน้ำนางฟ้าได้ เพราะไม่ได้เกิดจาก Chlorella เพียงอย่างเดียว อาจเป็นแพลงตอนพืชอย่างอื่นที่มีขนาดใหญ่กว่าปาก ทำให้ไรน้ำนางฟ้าไม่สามารถกรองกินได้ ไรน้ำนางฟ้าก็จะทยอยตายไป ผู้เลี้ยงต้องกรองน้ำเขียวผ่านผ้าไนล่อนตาถี่ทุกครั้ง ถ้าน้ำเขียวไหลผ่านผ้ากรองได้ยากกว่าปกติ แสดงว่ามีแพลงตอนพืชชนิดอื่นเกิดขึ้น ควรล้างทิ้งแล้วเริ่มดำเนินการใหม่  

                    * * * ควรมีการศึกษาวิธีการที่จะเพาะเลี้ยง Chlorella ที่ให้ผลอย่างรวดเร็วและแน่นอน เพื่อใช้เป็นอาหารในการเพาะเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าอย่างแท้จริง ก็จะสามารถพัฒนาการเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าได้อย่างแพร่หลายจริงจัง  

         2. ศัตรูที่สำคัญต่อการเลี้ยงไรน้ำนางฟ้า คือ ไรน้ำ โดยเฉพาะ ไรขาว (Cyclop) ดังนั้นต้องกรองน้ำเขียวด้วยผ้าเนื้อหนาก่อนใส่ลงบ่อเลี้ยง กรณีทำน้ำเขียวในบ่อดิน ควรปล่อยปลาที่กินไรน้ำ หรือปลาขนาดเล็ก เช่น ปลาสลิด ปลากระดี่ และปลาหางนกยูง จะช่วยลดปริมาณไรน้ำต่าง ๆ ได้อย่างดี    

.

การเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าเชิงพาณิชย์

                          การเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าเชิงพาณิชย์ สามารถทำได้ทั้งในถังไฟเบอร์ บ่อซิเมนต์ และในบ่อดิน ประเด็นหลักในการเลี้ยงคือ 

         1. ทำอย่างไรที่จะให้สามารถเก็บรวบรวมไข่ในแต่ละวัน ให้ได้มากที่สุดและค่อนข้างสะอาด การสร้างบ่อรวบรวมไข่ที่มีประสิทธิภาพมีความสำคัญอย่างยิ่ง ได้ดำเนินการทดลองในโมเดลขนาดเล็กไว้แล้ว แต่เนื่องจากไม่ได้รับทุนสนับสนุนให้ดำเนินการต่อ จึงไม่สามารถขยายให้เห็นจริงได้ หน่วยงานใดสนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้

         2. ทำอย่างไรที่จะเพาะเลี้ยง Chlorella หรือทำน้ำเขียวในปริมาณมากให้เกิดต่อเนื่องได้ตลอดการเลี้ยง การดำเนินการเลี้ยง Chlorella ในบ่อดินจึงจะทำให้การเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าเชิงพาณิชย์ประสบผลสำเร็จได้ ซึ่งจากภาพที่ 17 จะเห็นได้ว่าไรน้ำนางฟ้าเป็นสัตว์ที่กินอาหารเก่งมาก ในแต่ละวันมีความต้องการ Chlorella ปริมาณมาก และจะต้องเป็น Chlorella ที่ค่อนข้างสะอาด คือ ต้องไม่มีแบคทีเรีย หรือโปรโตซัว และไรน้ำอื่น ๆ ด้วย โดยเฉพาะ พารามีเซียม และไรขาว เพราะจะทำให้ไรน้ำนางฟ้าตายได้อย่างรวดเร็ว  ควรที่หน่วยงานของรัฐน่าจะเร่งดำเนินการศึกษา จะทำให้เกษตรกรสามารถขยายการเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าเชิงพาณิชย์ได้อย่างแน่นอน  

.         3. การเตรียมอาหารเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าจะยากกว่าการเลี้ยงอาร์ทีเมีย เพราะอาร์ทีเมียเลี้ยงในน้ำความเค็มค่อนข้างสูง ทำให้ไม่มีแบคทีเรียหรือโปรโตซัวที่จะไปทำอันตรายได้ ส่วนไรน้ำนางฟ้าอยู่ในน้ำจืดถึงแม้จะกรองกินอาหารเช่นเดียวกับอาร์ทีเมีย แต่ต้องการอารที่เป็นแพลงตอนพืชที่ดี และจะถูกทำอันตรายจากแบคทีเรียหรือโปรโตซัว หรือไรน้ำจืดที่มีอยู่ในน้ำได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นการเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าจะต้องพิถีพิถันในเรื่องการเตรียมอาหารอย่างมาก

                       ทั้งหมดนี้เป็นการศึกษาที่ผมได้ดำเนินการต่อเนื่องมาหลายปี น่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องการศึกษา หรือต้องการเพาะเลี้ยงไรน้ำนางฟ้า หากได้ทำความเข้าใจแล้วก็น่าที่จะดำเนินการเลี้ยง และเก็บไข่ของไรน้ำนางฟ้าที่มีคุณภาพไว้ใช้เองได้อย่างง่าย ๆ 

.

                              เนื่องจากมีผู้อ่านหลายท่านหวังดี ได้ส่งสูตรปุ๋ยสำหรับการเพาะเลี้ยง Chlorella มาให้ ผมขอชี้แจงเพิ่มเติมเล็กน้อยครับ 

                1. สูตรปุ๋ยสำหรับการเพาะเลี้ยง Chlorella ทางผมก็มีอยู่แล้ว แต่ผมเห็นว่าสูตรเหล่านั้นเหมาะสำหรับการเตรียมอยู่ในห้องปฏิบัติการ ลองมาแล้วหลายสูตรไม่ค่อยได้ผลเมื่อต้องการปริมาณมาก และทำภายนอกอาคาร นอกจากนั้นยังยุ่งยากเมื่อต้องมีการตักออกไปใช้ ทั้งการเติมน้ำและการเพิ่มปุ๋ย และเมื่อตักไปใช้เลี้ยงไรน้ำนางฟ้า ไรก็อ่อนแอ

                2. วัสดุอุปกรณ์ที่ผมเขียนแนะนำ ดูเหมือนเป็นวัสดุที่ล้าสมัย ที่จริงทางเราก็มีวัสดุอุปกรณ์ที่ดีกว่าในภาพ เช่นสายยางกาลักน้ำ ก็มีสายลักน้ำแบบบีบหรือเขย่า หรือใช้ปั๊มช่วย แต่ผมพยายามเน้นผู้เลี้ยงมือใหม่ให้ใช้อุปกรณ์ที่หาได้ง่าย ราคาไม่แพง ส่วนผู้เลี้ยงที่เลี้ยงปลาสวยงามมามากแล้วแค่บอกว่าทำกาลักน้ำก็มองเห็นภาพอุปกรณ์ที่จะใช้ได้แล้ว

                3. การเลี้ยง Chlorella ให้ได้ต่อเนื่องในบ่อดินจะมีความสำคัญมาก เพราะจากที่เคยลองเลี้ยงไรจำนวนมากในถังไฟเบอร์ 4 ใบ ต้องใช้น้ำเขียววันละประมาณ 300 ลิตร ก็ไม่สามารถผลิตน้ำเขียวให้มีใช้ต่อเนื่องทุกวันได้ ผมคิดว่าถ้าสามารถส่งเสริมให้ผู้ที่ต้องการเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าทำน้ำเขียวได้จริง การเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าในบ้านเราจะขยายตัวได้ทันที ผมถึงบอกว่าการศึกษาการทำน้ำเขียวจำนวนมากให้มีความต่อเนื่องจึงมีความสำคัญมาก 

                4. ที่ต้องฝากเรื่องการเลี้ยง Chlorella ในบ่อดินให้ได้ต่อเนื่องนั้น เพราะผมเกษียณอายุราชการแล้ว ตั้งแต่  กันยายน 2554 หวังว่าคงมีนักวิชาการที่สนใจ เห็นความสำคัญ ลงมือดำเนินการนะครับ

                ประโยชน์ที่เกิดจากการศึกษาครั้งนี้ขอมอบให้แก่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 

                                                                                                   22 มิถุนายน 2555  

 

ข้อมูลเพิ่มเติม

21 มิถุนายน 2556

          เป็นเวลา 1 ปีพอดีกับข้อมูลเรื่องไรน้ำนางฟ้าที่นำมาลงไว้ คิดว่าหลายท่านคงได้ลองเลี้ยงไรน้ำนางฟ้ากันมาแล้ว และหลายท่านคงเห็นด้วยกับผมว่าการเตรียมอาหารหรือการเลี้ยง Chlorella เป็นเรื่องสำคัญ ในช่วงที่ผ่านมาผมก็ยังคงลองเลี้ยงและเก็บรวบรวมไข่ของไรน้ำนางฟ้า ทำให้มีข้อมูลมาเขึยนเพิ่มเติมได้บ้าง

           1. เพิ่มเติมการผสมพันธุ์ของไรน้ำนางฟ้า ตามที่ได้เขียนไว้เมื่อปีที่แล้วว่าไรน้ำนางฟ้ามีวิธีการผสมพันธุ์คล้ายกับกุ้งทะเล คือเพศผู้จะมีการงอตัวรัดส่วนท้องของเพศเมียพร้อมกับการปล่อยถุงน้ำเชื้อไปที่ตัวเพศเมีย ข้อมูลที่ขอเพิ่มเติม คือ ไรน้ำนางฟ้าเพศผู้ที่สมบูรณ์จะมีถุงอัณฑะ 2 ถุง อยู่สองข้างของท่อทางเดินอาหารท้ายส่วนท้องข้างละ 1 ถุง การปล่อยถุงน้ำเชื้อของเพศผู้ก็จะคล้ายกับกุ้งทะเลด้วย คือจะปล่อยถุงน้ำเชื้อทีละถุงเช่นกัน เมื่อปล่อยหมดทั้ง 2 ถุงแล้วจะสร้างถุงน้ำเชื้อขึ้นใหม่ภายใน 1-2 วัน

ภาพที่ 20  ไรน้ำนางฟ้าเพศผู้ที่สมบูรณ์จะมีถุงอัณฑะอยู่สองข้างของท่อทางเดินอาหารข้างละ 1 ถุง

 

 

ภาพที่ 21  ไรน้ำนางฟ้าเพศผู้ที่เหลือถุงอัณฑะ 1 ถุงหลังจากผสมพันธุ์

 

           2. เพิ่มเติมการเตรียมน้ำเขียวหรือการเลี้ยง Chlorella สำหรับการเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าในภาชนะขนาดเล็ก

                 จากเดิมการเตรียมน้ำเขียวหรือการเลี้ยง Chlorella โดยการเลี้ยงปลา เช่น ปลาหางนกยูง หรือ ปลาทอง นั้น พบว่าจะเกิดน้ำเขียวที่เกิดจากแพลงตอนพืชที่ไม่ใช่ Chlorella ซะมากกว่า เมื่อลองดมกลิ่นน้ำจะได้กลิ่นเหม็นของน้ำ จึงลองวิธีการใหม่โดยการเตรียมกะละมังเปล่าที่ไม่มีการเลี้ยงปลา แล้วดูดตะกอนและมูลของปลาจากกะละมังเลี้ยงปลาทอง (ที่เริ่มต้นเลี้ยงใหม่เช่นกัน) ในช่วงแรกเน้นต้องการตะกอนและมูลปลาทอง (ได้น้ำมาประมาณ 5 ลิตร) มาเทลงในกะละมังเปล่าที่เตรียมไว้ ทำไปทุกวันจนได้น้ำเต็มกะละมังใหม่ ปิดฝาบังแดดประมาณ 1 ใน 3 ของปากกะละมัง ทิ้งไว้ 15-20 วันจะเกิด Chlorella (ถ้ามีหัวเชื้อ Chlorella มาเติมจะยิ่งดี แต่ไม่มีก็ไม่เป็นไร) ในขณะที่รอให้เกิดน้ำเขียวต้องตักน้ำในบ่อเลี้ยงปลาทองทิ้งประมาณ 1 ใน 3 ของกะละมัง แล้วเติมน้ำใหม่ เพื่อไม่ให้น้ำในบ่อปลาทองหมักหมมเกินไป แล้วเกิดแพลงตอนพืชที่ไม่ใช่ Chlorella ซะก่อน เมื่อสีน้ำในกะละมังใหม่เริ่มเขียวเข้มขึ้น ลองตักไปเทผ่านกระชอนผ้าชนิดหนา ถ้าน้ำไหลผ่านได้เร็วแสดงว่าแพลงตอนพืชที่เกิดขึ้นใช่ Chlorella ก็สามารถตักน้ำเขียวไปใช้เลี้ยงไรน้ำนางฟ้าได้

                     วิธีการใหม่นี้พบว่าสามารถตักน้ำเขียวจากกะละมังดังกล่าวไปใช้ได้ประมาณ 1 ใน 3 ของกะละมัง แล้วตักน้ำจากบ่อเลี้ยงปลาทองมาเติม โดยพยายามกวนตักเอาตะกอนและมูลปลาทอง (ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาใช้วิธีกาลักน้ำ) จากนั้นเปิดน้ำใหม่เติมน้ำในบ่อปลาทอง ทำเช่นนี้ไปทุกวันจะมีน้ำเขียวเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าอย่างต่อเนื่องได้มากพอสมควร 

ภาพที่ 22  การเตรียมน้ำเขียวหรือการเลี้ยง Chlorella โดยใช้น้ำจากบ่อเลี้ยงปลาทอง

 

ภาพที่ 23  น้ำเขียวหรือการเลี้ยง Chlorella ที่ได้

 

ภาพที่ 24  น้ำเขียวที่ได้เมื่อนำไปเทผ่านกระชอนผ้าเนื้อละเอียดจะสามารถไหลผ่านผ้าได้ดีและไม่มีตะกอนตกค้าง

 

ภาพที่ 25  สามารถตักน้ำเขียวไปใช้ได้ประมาณ 1 ใน 3 ของภาชนะต่อวัน (จากภาพได้วันละ 15 ลิตร)

 

ภาพที่ 26  การเลี้ยงปลาทองเพื่อนำน้ำไปเลี้ยง Chlorella

 

ภาพที่ 27  ลักษณะน้ำที่ตักจากบ่อเลี้ยงปลาทอง

 

ภาพที่ 28  ตักน้ำจากบ่อเลี้ยงปลาทองไปแล้วจึงเติมน้ำใหม่

 

ภาพที่ 29  น้ำเขียวจากบ่อหรือตู้เลี้ยงปลาทอง ที่เลี้ยงนาน 2-3 เดือนจะเป็นน้ำเขียวที่ไม่ใช่ Chlorella

 

ภาพที่ 30  ลักษณะน้ำเขียวจากภาพที่ 29 จะมีตะกอนมาก ไหลผ่านผ้าเนื้อละเอียดยาก

 

           3. เพิ่มเติมวิธีการรวบรวมไข่ของไรน้ำนางฟ้า

                 เมื่อรวบรวมไข่ของไรน้ำนางฟ้าและแช่น้ำไว้เป็นเวลาตามชนิดของไรน้ำนางฟ้า (ไรน้ำนางฟ้าไทย 10 วัน ส่วนไรน้ำนางฟ้าสิรินธร 6 วัน) ก็เทไข่ลงในถุงผ้า (ไรน้ำนางฟ้าไทย ใช้ผ้าไนล่อนธรรมดา ส่วนไรน้ำนางฟ้าสิรินธร ใช้ผ้าไนล่อนเนื้อหนา) แล้วนำไปแขวนตากแดด วันต่อมาสามารถนำไข่ของไรน้ำนางฟ้าที่แช่น้ำไว้ครบอายุแล้วมาเทเพิ่มเติมได้ คือถุงผ้า 1 ถุง สามารถใช้เก็บไข่ได้ค่อนข้างมากตามความพอใจของผู้ดำเนินการ เมื่อคิดว่าได้มากพอแล้ว ก็ตากทิ้งไว้ให้แห้งสนิท (3 วัน) แล้วฉีดน้ำให้เปียกชุ่ม จากนั้นนำไปตากให้แห้งอีก ทำแบบนี้ประมาณ 4-5 ครั้ง เป็นการเลียนแบบธรรมชาติที่ผืนนาจะได้รับน้ำฝนในช่วงต้นฤดูกาล แต่ยังไม่มากพอที่จะมีน้ำขังในผืนนา จากนั้นจึงเก็บถุงไข่ไว้ เมื่อต้องการฟักไข่ไรน้ำนางฟ้าเมื่อใดก็สามารถนำไปแช่น้ำฟักได้เลย วิธีการนี้จะยิ่งทำให้ไข่มีการฟักตัวได้ดีมาก

ภาพที่ 31  ลักษณะการเก็บรวบรวมไข่ของไรน้ำนางฟ้าในถุงผ้า

 

                      ก็มีข้อมูลเพิ่มเติม 3 หัวข้อตามนี้นะครับ อย่างไรก็ดีนี่เป็นเพียงวิธีการเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าในภาชนะขนาดเล็ก ซึ่งการเตรียมน้ำเขียวหรือการเลี้ยง Chlorella ยังหาความแน่นอนได้ยาก การเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าในบ่อดินจะทำให้ประเทศไทยสามารถขยายผลผลิตไรน้ำนางฟ้าได้ เพราะการทำน้ำเขียวในบ่อดินจะง่ายกว่า แต่น่าเสียดายที่เกษตรกรที่มีฟาร์มเลี้ยงปลาอาจไม่ได้เข้าถึงข้อมูล ขอให้นักวิชาการได้นำข้อมูลลองไปให้เกษตรกรได้ทดลองดำเนินการในบ่อดิน น่าจะทำให้การเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าประสพผลดีมากขึ้น

 

เอกสารอ้างอิง

Ruppert, E.E. and R. D. Barnes. 1994. Invertebrate Zooology. Sixth Edition. Saunders College Publishing. Florida. 

            1056 pp.

 

                             

                                                                                                                                      

 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม               pracha@kku.ac.th

 



ไรน้ำนางฟ้าเพศเมีย

พร้อมไข่ในถุงไข่

 

ไรน้ำนางฟ้าเพศเมีย

ที่ปล่อยไข่แล้ว

 

ไรน้ำนางฟ้าเพศผู้



ไข่(cyst)ของไรน้ำนางฟ้า