|
|||||||||||||
รศ.ประภาส โฉลกพันธ์รัตน์ ** | |||||||||||||
ประวัติของปลากัด
.
|
ปลากัด
มีชื่อสามัญว่า
Siamese Fighting Fish เป็นปลาสวยงามที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยมานานแล้ว
เนื่องจากเป็นปลาสวยงามที่นอกจากจะมีสีสันสดเข้มสวยงามสะดุดตามากแล้ว
ยังเป็นปลาที่จัดว่าเป็นยอดนักสู้ตัวฉกาจอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะปลากัดที่ไปจากประเทศไทยจัดว่าเป็นปลาที่กัดเก่งและมีความทรหดมากที่สุด
ทำให้ได้รับความนิยมจากประเทศต่างๆทั่วโลก
ในประเทศไทยนิยมเลี้ยงปลากัดมานานแล้ว
และได้เน้นเป็นการเลี้ยงเพื่อเกมกีฬาโดยเฉพาะมีการจัดตั้งเป็นบ่อนการพนัน
ทางราชการจะมีการอนุญาตให้เปิดสถานที่สำหรับเดิมพันการกัดปลา
เรียก บ่อนปลากัด
หรือ บ่อนกัดปลา
มาตั้งแต่โบราณจนกระทั่งปัจจุบัน
การเลี้ยงปลากัดเป็นปลาสวยงามมักนิยมเลี้ยงในขวดหรือโหลขนาดเล็ก
ไม่นิยมเลี้ยงร่วมกับปลาชนิดอื่น
เพราะเป็นปลาที่ชอบสร้างอาณาเขตและมักจะไล่กัดปลาที่มีขนาดไล่เลี่ยกัน
ซึ่งในช่วงนี้ปลาจะมีสีสดเข้มสวยงาม
แต่ถ้านำไปเลี้ยงกับปลาขนาดใหญ่ปลาจะตื่นตกใจ
เหมือนกับการแพ้คู่ต่อสู้
ในช่วงนี้ปลาก็จะสีซีดดูไม่สวยงาม
จึงจำเป็นต้องเลี้ยงปลากัดไว้เพียงตัวเดียวในภาชนะที่ไม่ใหญ่มากนัก
ปลาก็จะมีความรู้สึกว่าสามารถสร้างอาณาเขตของตัวเองไว้ได้ก็จะมีสีสันสดใสสวยงาม
จัดว่าเป็นปลาที่ติดตลาด
ทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดต่างประเทศ
สามารถจำหน่ายได้ดีตลอดปี
โดยเฉพาะเด็กจะชอบหาซื้อปลากัดไปเลี้ยง
เพื่อนำไปกัดแข่งขันกัน
แล้วก็หาซื้อปลาตัวใหม่อยู่เสมอ
ภาพที่
1 ลักษณะภาชนะรูปแบบต่างๆที่สวยงามนำมาใช้เลี้ยงปลากัด
ที่มา
: http://www.bettatalk.com/images/betta_in_a_vase.jpg
(ภาพ 1 )
http://www.siamsbestbettas.com/gallery.html (ภาพ
2 )
http://www.cbsbettas.org/petbetta.html (ภาพ
3 )
http://www.cleavelin.net/archives/DSC01048.JPG (ภาพ
4 ) . 1
ประวัติของปลากัด
ปลากัดเป็นปลาพื้นบ้านของไทย
ในธรรมชาติชอบอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำนิ่ง
เช่น หนอง
บึง หรือชายทุ่งนา
โดยมักพบตามชายฝั่งที่ตื้นๆและมีพรรณไม้น้ำมาก
เป็นปลาที่จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับพวก
Labyrinth Fish ได้แก่
พวกปลากระดี่ทั้งหลาย
ซึ่งเป็นกลุ่มปลาที่มีอวัยวะช่วยหายใจ
ทำให้ปลาอาศัยอยู่ในที่มีออกซิเจนต่ำได้
จึงทำให้สามารถเลี้ยงปลากัดในขวดต่างๆที่มีปากขวดแคบๆได้
ปลากัดจัดว่าเป็นปลาที่กินเนื้อเป็นอาหาร
โดยจะชอบกินแมลงและตัวอ่อนของแมลงต่างๆ
(Insectivores) 2
การจำแนกทางอนุกรมวิธาน
Nelson (1984) ได้จัดลำดับชั้นของปลากัดไว้ดังนี้
Superclass
: Osteichthyes
Class
: Actinopterygii
Order
: Perciformes -- perch-like fishes
Suborder :
Anabantoidei -- labyrinthfishes
Family :
Osphronemidae Bleeker, 1859 -- giant gouramis
Subfamily : Macropodinae
Liem, 1963
Genus : Betta
ปลากัดที่นิยมเลี้ยงในประเทศไทยมานานแล้วนั้นถูกจัดให้เป็นชนิด
splendens หรือมีชื่อวิทยาศษสตร์ว่า
Betta splendens, Regan, 1910
ปัจจุบันได้มีการสำรวจพบชนิดของปลากัดประมาณ
50 - 60 ชนิด
โดยจัดแบ่งกลุ่มตามลักษณะการวางไข่ออกได้เป็น
2 กลุ่ม คือ
1
กลุ่มแรก
เป็นปลากัดที่ก่อหวอดวางไข่
เป็นปลากัดที่ผู้เพาะเลี้ยงปลากัดส่วนใหญ่ดำเนินการกันมานานแล้ว
ปลาเพศผู้จะสร้างรัง
เรียกว่าหวอดที่บริเวณผิวน้ำและจะติดอยู่ใต้ใบพันธุ์ไม้น้ำชายฝั่ง
เพื่อใช้ในการฟักไข่
ตัวอย่างปลากัดในกลุ่มนี้
เช่น Betta coccina
B. brownorum B. burdigala B.
livida B. rutilans B. tussyae
2
กลุ่มที่สอง
เป็นปลากัดอมไข่
เป็นปลากัดที่ถูกนำมาเลี้ยงยังไม่นานนัก
เป็นปลาที่มีพฤติกรรมการแพร่พันธุ์วางไข่คล้ายกับปลาหมอสีกลุ่มที่อมไข่
เพื่อให้ไข่ฟักตัวภายในปาก
ตัวอย่างปลากัดในกลุ่มนี้
เช่น Betta
akarensis B. patoti
B. anabatoides B. macrostoma
B. albimarginata B. channoides
ภาพที่
2 แสดงลักษณะรูปร่างของปลากัด
Betta splendens .
ภาพที่
3 แสดงลักษณะรูปร่างของปลากัดที่ก่อหวอดวางไข่ ที่มา
:
http://ibc-smp.org/species/splendens.html
ภาพที่
4 แสดงลักษณะรูปร่างของปลากัดอมไข่
ที่มา
:
http://ibc-smp.org/species/splendens.html 3
ลักษณะรูปร่างของปลากัด
ปลากัดจัดเป็นปลาขนาดเล็ก
ลำตัวมีความยาวประมาณ
5 - 7 เซนติเมตร
ลักษณะลำตัวเรียวยาว
แบนข้าง
ปากมีขนาดเล็กเชิดขึ้นด้านบนเล็กน้อย
ส่วนหัวมีเกล็ดปกคลุม
ครีบก้นมีฐานครีบค่อนข้างยาว
มีจำนวนก้านครีบ
23 - 26 อัน ครีบท้องเล็กยาว
สีของลำตัวเป็นสีเทาแกมดำ
สีของครีบและเกล็ดบริเวณใกล้ครีบจะเป็นสีสดเข้มสีใดสีหนึ่งทั้งตัว
เช่น ปลากัดสีแดง
จะมีครีบทุกครีบและเกล็ดที่อยู่ใกล้ครีบเป็นสีแดงทั้งหมด ภาพที่
5
แสดงลักษณะรูปร่างของปลากัด . 4
ลักษณะพันธุ์ของปลากัด
ปลากัดที่มีเพาะเลี้ยงกันอยู่ในปัจจุบัน
มีหลายสายพันธุ์ดังนี้
4.1 ปลากัดลูกหม้อ
มีลักษณะลำตัวค่อนข้างหนาเมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่น
ส่วนหัวค่อนข้างโต
ปากใหญ่
ครีบสั้นสีเข้ม
เดิมมักจะเป็นสีเขียว
หรือสีน้ำเงินแกมแดง
แต่ปัจจุบันมีหลายสี
เช่นสีแดง
สีน้ำเงิน
สีม่วง
สีเขียว
และสีนาก
เป็นชนิดที่มีความอดทน
กัดเก่ง
ได้รับความนิยมสำหรับการกัดพนัน ภาพที่
6
แสดงลักษณะรูปร่างของปลากัดลูกหม้อ 4.2 ปลากัดลูกทุ่ง มีลักษณะลำตัวเล็กกว่าพันธุ์ลูกหม้อ ลำตัวค่อนข้างยาว ครีบยาวปานกลางหรือยาวกว่าพันธุ์ลูกหม้อเล็กน้อย สีไม่เข้มมากนัก ส่วนมากมักจะเป็นสีแดงแกมเขียว เป็นพันธุ์ที่มีความตื่นตกใจได้ง่ายที่สุด การกัดจะมีความว่องไวมากกว่าพันธุ์ลูกหม้อ ปากคม แต่ไม่ค่อยมีความอดทน ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีจะรู้ผลแพ้ชนะ นิยมใช้ในวงการกัดพนันเช่นกัน
ภาพที่
7
แสดงลักษณะรูปร่างของปลากัดลูกทุ่ง .
4.3 ปลากัดลูกผสม
หรือพันธุ์สังกะสี
หรือพันธุ์ลูกตะกั่ว
เป็นลูกปลาที่เกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างปลากัดลูกหม้อกับปลากัดลูกทุ่ง
โดยอาจผสมระหว่างพ่อเป็นปลาลูกหม้อกับแม่เป็นปลาลูกทุ่ง
หรือพ่อเป็นปลาลูกทุ่งกับแม่เป็นปลาลูกหม้อ
ได้ทั้งสองแบบ
ผู้เพาะต้องการให้ปลาลูกผสมที่ได้มีลักษณะปากคม
กัดคล่องแคล่วว่องไวแบบปลาลูกทุ่ง
และมีความอดทนแบบปลาลูกหม้อ
โดยพยายามคัดปลาที่มีลักษณะลำตัวเป็นปลาลูกทุ่ง
เพราะเมื่อนำไปกัดกับปลาลูกทุ่งแท้
ๆ
ปลาลูกผสมนี้จะกัดทนกว่าปลาลูกทุ่ง
4.4 ปลากัดจีน
เป็นปลากัดที่เกิดจากการเพาะและคัดพันธุ์ปลากัดโดยเน้นเพื่อความสวยงาม
พยายามคัดพันธุ์เพื่อให้ปลามีหางยาวและสีสันสดเข้ม
จนในปัจจุบันสามารถผลิตปลากัดจีนที่มีความสวยงามอย่างมาก
มีครีบต่างๆค่อนข้างยาว
โดยเฉพาะครีบหางจะยาวมากเป็นพิเศษและมีรูปทรงหลายแบบ
มีสีสันสดสวยมากมายหลายสี
เป็นปลาที่ไม่ค่อยตื่นตกใจเช่นเดียวกับปลาหม้อ
แต่ไม่มีความอดทน
เมื่อปล่อยกัดกันมักรู้ผลแพ้ชนะภายใน
10 นาที ไม่นิยมใช้ในการกัดพนัน .
ภาพที่
8
แสดงลักษณะรูปร่างของปลากัดจีน .
ปัจจุบันผู้เพาะพันธุ์ปลากัดสามารถเพาะพันธุ์ปลากัดสายพันธุ์ใหม่ๆออกมาอีกหลายสายพันธุ์
และมีความหลากหลายทางด้านสีสันอีกด้วย
ทำให้มีการเรียกชื่อสายพันธุ์ปลากัดเพิ่มขึ้นอีกมากมาย
ได้แก่
ปลากัดครีบสั้น(ปลากัดหม้อ)สีเดียว
ปลากัดครีบยาว(ปลากัดจีน)สีแฟนซี
ปลากัดสองหาง
(Double Tail) ปลากัดหางหนามมงกุฎ
(Crown Tail) ปลากัดหางพระจันทร์ (Halfmoon)
เป็นต้น
ภาพที่
9
แสดงลักษณะรูปร่างของปลากัดครีบสั้นสีเดียว .
ภาพที่
10
แสดงลักษณะรูปร่างของปลากัดครีบยาวสีแฟนซี
ที่มา : สถาบันวิจัยสัตว์น้ำสวยงามและสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ
2544 .
ภาพที่
11
แสดงลักษณะรูปร่างของปลากัดสองหาง
(Double Tail) .
ภาพที่
12
แสดงลักษณะรูปร่างของปลากัดหางหนามมงกุฏ
(Crown Tail) .
ภาพที่
13
แสดงลักษณะรูปร่างของปลากัดหางพระจันทร์
(Halfmoon) 5
การจำแนกเพศปลากัด
ปลากัดเพศผู้และเพศเมียมีลักษณะภายนอกที่แสดงความแตกต่างกัน
ซึ่งพอจะสังเกต ได้หลายประการ
คือ
5.1 สีของลำตัว
ปลาเพศผู้จะมีสีของลำตัวและครีบ
เข้มและสดกว่าปลาเพศเมียอย่างชัดเจน
เมื่อปลามีอายุตั้งแต่
2 เดือน หรือมีขนาดตั้งแต่
3 เซนติเมตรขึ้นไป
5.2 ขนาดของตัว
ปลาที่เลี้ยงในครอกเดียวกันปลาเพศผู้จะเจริญเติบโตเร็วกว่าปลาเพศเมีย
5.3 ความยาวครีบ
ปลาเพศผู้จะมีครีบหลัง
ครีบหาง
และครีบก้นยาวกว่าของปลาเพศเมียมาก
ยกเว้นปลากัดหม้อจะยาวต่างกันไม่มากนัก
5.4 เม็ดไข่นำ
ปลาเพศเมียจะมีเม็ดหรือจุดขาวๆอยู่
1 จุด ใกล้ๆกับช่องเปิดของช่องเพศ
ลักษณะคล้ายกับไข่ของปลากัดเอง
เรียกจุดนี้ว่าไข่นำ
ส่วนปลาเพศผู้ไม่มี
ภาพที่
14
แสดงความแตกต่างระหว่างเพศผู้(ซ้าย)และเพศเมีย(ขวา) 6
การแพร่พันธุ์ของปลากัด
ในธรรมชาติปลากัดเป็นปลาที่วางไข่ได้เกือบตลอดปี
โดยปลาจะจับคู่วางไข่ตามน้ำนิ่ง
ปลาเพศผู้จะทำหน้าที่สร้างรัง
ด้วยการก่อหวอดที่บริเวณผิวน้ำและจะติดอยู่ใต้ใบพันธุ์ไม้น้ำชายฝั่ง
หวอดนี้ทำจากลมและน้ำลายจากตัวปลา
โดยการที่ปลาเพศผู้จะโผล่ขึ้นมาที่ผิวน้ำ
แล้วใช้ปากฮุบเอาอากาศที่ผิวน้ำเข้าปาก
ผสมกับน้ำลายแล้วพ่นออกมาเป็นฟองอากาศเล็กๆลอยติดกันเป็นกลุ่มทรงกลม
เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ
5 เซนติเมตร
จากนั้นจะกางครีบว่ายวนเวียนอยู่ใกล้ๆหวอด
เป็นเชิงชวนให้ปลาเพศเมียที่มีไข่แก่เข้ามาที่หวอด
การผสมพันธุ์วางไข่จะเกิดขึ้นในช่วงเช้า
เวลาประมาณ
7.00 - 8.00 น. โดยทั้งปลาเพศผู้และเพศเมียจะเข้าไปอยู่ใต้รัง
จากนั้นปลาเพศผู้จะงอตัวรัดบริเวณท้องของปลาเพศเมีย
ลักษณะนี้เรียกว่า
“การรัด”
ปลาเพศเมียจะปล่อยไข่ออกมาครั้งละ
7 - 20 ฟองในขณะเดียวกันปลาเพศผู้จะปล่อยน้ำเชื้อเข้าผสมกับไข่
ในช่วงนี้ทั้งปลาเพศผู้และเพศเมียจะค่อยๆจมลงสู่ก้นบ่อ
จากนั้นปลาเพศผู้จะค่อยๆคลายการรัดตัว
แล้วรีบว่ายน้ำไปหาไข่ที่กำลังจมลงสู่พื้น
ใช้ปากอมไข่นำไปพ่นติดไว้ที่หวอด
ปลาเพศเมียก็จะช่วยเก็บไข่ไปไว้ที่หวอดด้วย
เมื่อตรวจดูว่าเก็บไข่ไปไว้ที่หวอดหมดแล้ว
จากนั้นปลาก็จะทำการรัดตัวกันใหม่
ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆจนแม่ปลาไข่หมดท้อง
ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ
2 ชั่วโมง
เมื่อวางไข่หมดแล้วปลาเพศผู้จะไล่กัดขับไล่ปลาเพศเมียไม่ให้มาใกล้รังอีกเลย
เพราะเมื่อปลาเพศเมียวางไข่หมดแล้วมักจะกินไข่ของตัวเอง
จะมีเฉพาะปลาเพศผู้เท่านั้นที่คอยดูแลรักษาไข่
คอยไล่ไม่ให้ปลาตัวอื่นเข้าใกล้รัง
และจะคอยเปลี่ยนลมในหวอดอยู่เสมอ
ไข่ของปลากัดจัดว่าเป็นไข่ประเภทไข่ลอย
ถึงแม้ตอนปล่อยจากแม่ปลาใหม่ๆไข่จะจมน้ำ
แต่เมื่อถูกนำไปไว้ในหวอดจะพัฒนาเกิดหยดน้ำมันและลอยน้ำได้ดี
ลักษณะไข่เป็นเม็ดกลมสีขาว
ใช้เวลาในการฟักตัวประมาณ
30 - 40 ชั่วโมง
ปลาเพศเมียที่มีขนาดความยาวประมาณ
4 - 6 ซม. จะมีไข่ประมาณ
300 - 700 ฟอง เมื่อวางไข่ไปแล้วจะสามารถวางไข่ครั้งต่อไปภายในเวลาประมาณ
20 - 30 วัน 7
การเพาะพันธุ์ปลากัด
การเพาะพันธุ์ปลากัดดำเนินได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้
7.1
การเตรียมพ่อแม่พันธุ์
ปลากัดจะสมบูรณ์เพศเมื่ออายุ
4 - 6 เดือน
สามารถนำไปใช้เป็นพ่อแม่พันธุ์ได้
การเลือกปลาเพศผู้ควรเลือกปลาที่คึกคะนอง
คือ เมื่อนำปลาดังกล่าวไปใกล้กับปลาเพศผู้ตัวอื่น
ก็จะแสดงอาการก้าวร้าวทันที
โดยจะกางกระพุ้งแก้มและกางครีบ
รี่เข้าหาปลาตัวอื่นทันทีพร้อมที่จะกัด
หรืออาจสังเกตจากการสร้างหวอดก็ได้
เพราะปลาเพศผู้ที่สมบูรณ์เพศและพร้อมจะผสมพันธุ์
มักจะสร้างหวอดในภาชนะที่เลี้ยงเสมอ
สำหรับปลาเพศเมียควรเลือกปลาที่มีท้องแก่
คือมีไข่แก่เต็มที่
โดยสังเกตได้จากส่วนท้องของปลา
ซึ่งจะขยายตัวพองออกอย่างชัดเจน
และเมื่อลองให้อดอาหารเป็นเวลา
1 วัน ส่วนท้องก็ยังคงขยายอยู่เช่นเดิม
นำแม่ปลาที่เลือกได้ไปใส่ขวดแล้วนำไปวางเทียบกับปลาเพศผู้
เมื่อปลาเพศผู้แสดงอาการเกี้ยวพาราสี
ปลาเพศเมียที่ท้องแก่จะเกิดลายสีขาวแกมเหลืองพาดจากส่วนหลังลงไปทางส่วนท้อง
จำนวน 4 - 6 แถบ
ในเรื่องสีสันของปลานั้นสามารถเลือกได้ตามความชอบของผู้ดำเนินการ
เพราะปลาสีต่างกันสามารถผสมกันได้
ภาพที่
15
แสดงลักษณะแม่ปลาที่ท้องแก่ . 7.2
การเทียบพ่อแม่พันธุ์
เมื่อเลือกได้ปลาเพศผู้และเพศเมีย
ที่สมบูรณ์มีลักษณะและสีสันตามต้องการแล้ว
นำปลาใส่ขวดแก้วใสขวดละตัวแยกเพศกันไว้ก่อน
แล้วนำมาตั้งเทียบกันไว้
โดยการวางขวดใส่ปลาให้ชิดกันและไม่ต้อมีกระดาษปิดคั่น
ต้องการปล่อยให้ปลามองเห็นกัน
ลักษณะเช่นนี้เรียกว่า
“การเทียบ”
ควรเทียบไว้นานประมาณ
4 - 7 วัน เพื่อให้ปลาเกิดความเคยชินซึ่งกันและกัน
เมื่อปล่อยลงบ่อเพาะแม่ปลาจะไม่ถูกพ่อปลาทำร้ายมากนัก
ในขณะเดียวกันแม่ปลาก็จะมีไข่แก่เต็มที่
ภาพที่
16
แสดงลักษณะการเทียบพ่อแม่พันธุ์ปลากัดในขวด(ซ้าย)
และในภาชนะขนาดใหญ่(ขวา)
7.3
การเตรียมบ่อเพาะพันธุ์
บ่อหรือภาชนะที่จะใช้เป็นบ่อเพาะปลากัดควรมีขนาดเล็ก
ส่วนมากนิยมใช้ภาชนะต่างๆไม่มีบ่อถาวร
เช่น อ่างดินเผา
กะละมัง
ถัง หรือตุ่มน้ำขนาดเล็ก
เพราะสะดวกกว่าการเพาะในบ่อ
ภาชนะดังกล่าวมักมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ
30 - 40 เซนติเมตร
ใส่น้ำสะอาดลงในภาชนะที่เตรียมไว้ให้มีระดับสูงประมาณ
10 - 15 เซนติเมตร
จากนั้นใส่พันธุ์ไม้น้ำที่มีใบหรือลำต้นอยู่ผิวน้ำ
เช่น จอก
ผักตบชวา
ผักบุ้ง
หรือผักกระเฉด
ลงไปบ้างเล็กน้อยเพื่อให้ปลาสร้างหวอดได้ง่าย
.
ภาพที่
17
แสดงการเตรียมบ่อเพาะพันธุ์ปลากัดโดยใส่เฉพาะใบไม้(ซ้าย)
หรือภาชนะขนาดเล็กที่ปลาเข้าไปทำรังได้(ขวา) . ภาพที่
18
การเพาะปลากัดลูกทุ่งในขวดโหล
ภาพที่
19
แสดงภาชนะอื่นๆที่นำมาใช้ในการเพาะพันธุ์ปลากัด .
7.4
การปล่อยปลาลงบ่อเพาะ
เมื่อเทียบปลาไว้เรียบร้อยแล้วจึงปล่อยปลาทั้งคู่ลงบ่อเพาะที่เตรียมไว้
ต้องพยายามอย่าให้ปลาตื่นตกใจมากนัก
จากนั้นหาแผ่นวัสดุ
เช่น กระดาษแข็ง
หรือแผ่นกระเบื้อง
ปิดบนภาชนะที่ใช้เพาะ
โดยปิดไว้ประมาณ
2 ใน 3 ของพื้นที่ปากภาชนะ
เพราะปลากัดมักชอบวางไข่ในบริเวณที่มืด
เนื่องจากต้องการความเงียบสงบ
วัสดุที่นำมาปิดจะสามารถช่วยบังแสงและกันลมไม่ให้หวอดของปลาแตก
เทคนิคที่สำคัญคือ
การปล่อยพ่อแม่ปลาควรปล่อยในตอนเย็น
เวลาประมาณ
17.00 - 18.00 น. เพราะโดยปกติแล้วเมื่อปล่อยพ่อแม่ปลารวมกัน
ปลาเพศผู้จะเกี้ยวพาราสีปลาเพศเมีย
โดยว่ายน้ำต้อนหน้าต้อนหลังอยู่ประมาณ
15 นาที จากนั้นจะไล่กัดปลาเพศเมียจนปลาเพศเมียจะต้องหนีไปแอบซุกอยู่ตามพันธุ์ไม้น้ำ
แล้วปลาเพศผู้จะเริ่มหาที่ก่อหวอด
เมื่อก่อหวอดไปพักหนึ่งก็จะไปไล่กัดปลาเพศเมียอีก
ดังนั้นหากปล่อยปลาทั้งคู่ตั้งแต่เช้าปลาเพศเมียก็จะถูกกัดค่อนข้างบอบช้ำ
แต่ถ้าปล่อยใกล้ค่ำเมื่อปลาเพศผู้หาจุดสร้างรังได้ก็จะค่ำพอดี
ปลาเพศผู้จะไม่ไปรบกวนปลาเพศเมียอีก
แต่จะสร้างรังไปจนเรียบร้อย
รุ่งเช้าก็พร้อมจะผสมพันธุ์ได้ .
ภาพที่
20
แสดงการปิดแสงบ่อเพาะพันธุ์ปลากัดเพียงบางส่วน(ซ้าย)
หรือในขันปิดหมด(ขวา) .
ภาพที่ 21 แสดงการใช้กระถางต้นไม้ในการเพาะพันธุ์ปลากัด .
7.5
การตรวจสอบการวางไข่ของปลา
ตามปกติแล้วถ้าปลามีการวางไข่
ก็มักจะวางไข่เสร็จก่อนเวลาประมาณ
10.00 น. ดังนั้นเมื่อปล่อยปลาลงบ่อเพาะแล้ว
เช้าวันต่อมาเวลาประมาณ
10.00 น. จึงค่อยๆลองแง้มฝาปิดดู
ถ้าพบว่ามีไข่เม็ดเล็กๆสีขาวอยู่ที่หวอด
และมีพ่อปลาคอยเฝ้าอยู่
ส่วนแม่ปลาหนีไปซุกอยู่ด้านตรงข้ามกับหวอด
แสดงว่าปลาวางไข่เรียบร้อยแล้ว
ค่อยๆช้อนแม่ปลาออกไปเลี้ยงต่อไป
ปลาเพศผู้จะคอยดูแลรักษาไข่
โดยหมั่นเปลี่ยนฟองอากาศในหวอดและตกแต่งหวอดให้คงรูปอยู่เสมอ
นอกจากนั้นยังคอยเก็บกินไข่เสียด้วย .
ภาพที่
22 ลักษณะไข่ในหวอดใต้ใบไม้
(ซ้าย)
และไข่ในหวอดที่มุมโหล
(ขวา)
จะเห็นฟองอากาศที่หวอดเ็ป็นสีขุ่นขาว . 8
การอนุบาลลูกปลากัด
ลูกปลาจะฟักออกจากไข่หมดทุกฟองในวันที่สองหลังจากวางไข่
พ่อปลาจะคอยดูแลลูกที่ว่ายน้ำแล้วจมไปก้นบ่อ
โดยจะไปอมลูกกลับมาไว้ที่หวอดเช่นเดิม
รอจนตอนเย็นของวันถัดไปจึงช้อนเอาพ่อปลาออก
ลูกปลาจะตกใจกระจายตัวออกจากหวอด
ส่วนใหญ่ลงไปก้นบ่อแต่เมื่อรอสักครู่ก็จะพุ่งตัวขึ้นมาเกาะอยู่ตามพันธุ์ไม้น้ำหรือผนังบ่อใกล้ผิวน้ำ
ในวันต่อมาถุงอาหารของลูกปลาจะหมดไป
ลูกปลาจะเริ่มว่ายน้ำเพื่อหากินอาหาร
การอนุบาลลูกปลากัดจะเริ่มจากที่ลูกปลาเริ่มหากินอาหาร
ซึ่งการอนุบาลลูกปลากัดนี้จัดว่าเป็นงานที่ค่อนข้างยาก
เนื่องจากปลากัดเป็นปลากินเนื้อตามที่กล่าวมาแล้ว
ลูกปลาจึงต้องการอาหารที่มีชีวิต
แต่ปัญหาจะอยู่ที่ว่าลูกปลากัดเป็นลูกปลาที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก
ปากจะไม่ใหญ่พอที่จะจับกินอาร์ทีเมียหรือไรแดงได้
อาหารที่เหมาะสมจะใช้ให้ลูกปลากินในช่วงนี้คือไข่แดง
โดยใช้ไข่ไก่หรือไข่เป็ดมาต้มให้สุกแล้วแกะเอาเฉพาะไข่แดงไปเลี้ยงปลา
เนื่องจากลูกปลากัดจะต้องการจับกินอาหารมีชีวิตยังไม่สามารถกัดแทะอาหารได้
ดังนั้นต้องนำเอาไข่แดงที่จะใช้
เช่น ลูกปลากัด
1 ครอกจะใช้ไข่แดงขนาดเท่าเม็ดถั่วดำต่อการให้
1 ครั้ง
ใส่ไข่แดงลงในกระชอนผ้า
แล้ววางกระชอนลงบนขันหรือแก้วที่ใส่น้ำไว้พอประมาณ
แล้วใช้นิ้วขยี้ไข่ในกระชอน
ไข่แดงก็จะละลายหรือกระจายตัวเป็นเม็ดเล็กๆผ่านผ้าออกไปในน้ำ
จากนั้นจึงใช้ช้อนตักแล้วค่อยๆรินลงบ่อปลาเพื่อให้อาหารมีการกระจายตัวทั่วบ่อ
ซึ่งจากการที่ได้ขยี้ไข่แดงผ่านผ้าจะทำให้ไข่แดงแตกตัวออกเป็นเม็ดขนาดเล็กมากและมีน้ำหนักค่อนข้างเบา
ดังนั้นจะมีการกระจายตัวได้ดีและจะค่อยๆจมตัวลง
ทำให้ลูกปลานึกว่าเป็นไรน้ำก็จะฮุบกินไข่แดงได้
สำหรับภาชนะที่ใช้ในการอนุบาล
ในช่วงแรกก็ควรยังเป็นภาชนะที่ใช้เพาะปลา
เพราะยังต้องการภาชนะขนาดเล็กอยู่
เนื่องจากการใช้ไข่แดงเป็นอาหารนั้น
ลูกปลาจะกินไข่แดงไม่หมด
เพราะไข่แดงส่วนใหญ่จะค่อยๆจมตัวตกตะกอนที่ก้นภาชนะ
และลูกปลาจะไม่ลงไปเก็บกินอีกเลย
ไข่แดงที่ตกตะกอนนี้ในวันต่อไปจะบูดเน่าเป็นเมือกอยู่รอบก้นภาชนะ
จึงจำเป็นต้องล้างบ่ออนุบาลหรือภาชนะที่ใช้อนุบาลทุกเช้า
ซึ่งกระทำได้ไม่ยาก
คือ ใช้กระชอนวางลงในบ่ออนุบาลแล้วใช้ขันค่อยๆวิดน้ำออกจากในกระชอน
จะสามารถลดน้ำลงได้โดยลูกปลาไม่ติดออกมา
และเศษไข่ก็จะไม่ฟุ้งกระจายเพราะเป็นเมือกเกาะติดกับภาชนะ
ลดน้ำลงประมาณครึ่งภาชนะ
แล้วจึงยกภาชนะค่อยๆรินทั้งน้ำและลูกปลาลงภาชนะใหม่แล้วเติมน้ำ
จะเท่ากับเป็นการล้างบ่ออนุบาลและเติมน้ำใหม่ให้ลูกปลา
ทำเช่นนี้ประมาณ
3 - 5 วัน ลูกปลาจะมีขนาดโตขึ้น
จะเปลี่ยนบ่ออนุบาลให้มีขนาดให้มีขนาดใหญ่ขึ้น
อาจใช้กะละมังพลาสติกขนาดใหญ่หรืออ่างซีเมนต์
และควรอนุบาลต่อโดยใช้อาร์ทีเมียหรือไรแดงซึ่งลูกปลาจะจับกินได้แล้ว
เลี้ยงด้วยอาร์ทีเมียหรือไรแดงประมาณ
15 - 20 วันพร้อมทั้งถ่ายน้ำอย่างสม่ำเสมอ
ลูกปลาจะโตได้ขนาดประมาณ
1.0 - 1.5 เซนติเมตร
ก็จะเปลี่ยนลงบ่อบ่ออนุบาลให้มีขนาดใหญ่ขึ้นให้มีความจุมากกว่า
100 ลิตร แล้วเริ่มฝึกให้ลูกปลากินอาหารสมทบ
โดยจะใช้ไข่ตุ๋น
คือนำไข่เป็ดหรือไข่ไก่มาตีให้ไข่ขาวและไข่แดงเข้ากันดี
ใส่เกลือและใส่น้ำพอประมาณเพื่อให้ไข่นุ่ม
จากนั้นนำไปนึ่งพอสุก
ไม่ควรนึ่งนานนักเพราะต้องการให้ไข่มีความนุ่ม
นำไปใส่ให้ปลากินโดยใช้นิ้วขยี้ไข่ให้แตกกระจายออกพอควร
และเริ่มให้มื้อเช้าแทนการให้ไร
ปลาจะเริ่มตอดกินได้เอง
เลี้ยงด้วยไข่ตุ๋นประมาณ
10 วันก็เปลี่ยนมาเป็นอาหารเม็ด
โดยช่วงแรกควรใช้อาหารปลาสวยงามชนิดเม็ดเล็กพิเศษ
ซึ่งค่อนข้างมีราคาแพงแต่ปลาจะกินได้ดี
จะใช้เพียง
3 - 5 วัน
แล้วเปลี่ยนเป็นอาหารเม็ดเลี้ยงปลาดุกเล็ก
ลูกปลาก็จะสามารถตอดกินและเจริญเติบโตดี
ใช้เวลาอนุบาลลูกปลาประมาณ
50 วัน ลูกปลาจะมีขนาดประมาณ
3 เซนติเมตร
ซึ่งพอจะ
สามารถแยกเพศได้ .
ภาพที่
23
แสดงลักษณะลูกปลากัดที่เริ่มฟักตัว
จะลอยตัวอยู่ใกล้ผิวน้ำโดยมีปลาเพศผู้คอยดูแล .
ภาพที่
24
แสดงลักษณะบ่ออนุบาลลูกปลากัดในบ่อซิเมนต์ .
ภาพที่ 25 การขยี้ไข่ตุ๋นผ่านผ้าไนล่อนเพื่อใช้เป็นอาหารเลี้ยงลูกปลาแทนอาหารมีชีวิต
ขยี้ .
ภาพที่ 26 เมื่อลูกปลาเคยชินกับการกินไข่ตุ๋นแล้ว ก็ให้เป็นก้อนปลาจะค่อยๆเข้ามารุมล้อมแทะกินไข่ตุ๋น . 9
การเลี้ยงปลากัด
บ่อเลี้ยงปลากัดถ้าเป็นบ่อดินควรมีขนาด
10 - 30 ตารางเมตร
ถ้าเป็นบ่อซีเมนต์ควรมีขนาด
2 - 6 ตารางเมตร
มีความลึกประมาณ
50 - 60 เซนติเมตร
คัดแยกลูกปลาจากบ่ออนุบาลโดยคัดเอาเฉพาะปลาเพศผู้มาเลี้ยง
เนื่องจากปลาเพศผู้เป็นที่ต้องการของตลาดมากกว่าและราคาสูงกว่าปลาเพศเมียมาก
ปล่อยเลี้ยงในอัตรา
150 - 200 ตัว
ต่อเนื้อที่
1 ตารางเมตรสำหรับบ่อดิน
และอัตรา
100 - 150 ตัว
ต่อเนื้อที่
1 ตารางเมตรสำหรับบ่อซีเมนต์
แล้วเลี้ยงด้วยอาหารเม็ดลอยน้ำ
นอกจากนั้นควรใส่พรรณไม้น้ำพวกสาหร่าย
และสันตะวา
เพื่อป้องกันการทำอันตรายจากปลาด้วยกันเอง
ใช้เวลาเลี้ยงอีกประมาณ
50 - 60 วัน ปลาจะมีขนาดประมาณ
5 เซนติเมตร
สามารถคัดแยกใส่ขวดเพื่อรอจำหน่ายต่อไป .
ภาพที่
27
แสดงลักษณะบ่อเลี้ยงปลากัดทั้งบ่อซิเมนต์และบ่อดิน ที่มา : http://fighterbetta.s5.com/howto.html(บ่อดิน) .
1
3 5 ภาพที่
28
แสดงลักษณะฟาร์มเลี้ยงปลากัดจีน(จรินพรฟาร์ม)
ที่อำเภอนครชัยศรี
จังหวัดนครปฐม 1 โรงเรือน 2 การวางขวดเลี้ยงปลา 3 บ่ออนุบาล 4 คัดปลาใส่ขวด 5 ล้างขวด 6 เติมน้ำ .
ภาพที่
29
แสดงการเลี้ยงปลากัดลูกทุ่งในถังความจุประมาณ
70 ลิตร
ซึ่งสามารถเลี้ยง ปลากัดลูกทุ่งได้ถังละประมาณ 150-200 ตัว .
ภาพที่
30
แสดงการเลี้ยงปลากัดลูกหม้อในกะละมังความจุประมาณ
50 ลิตร
ซึ่งสามารถเลี้ยง ปลากัดลูกหม้อได้กะละมังละประมาณ 120-150 ตัว 10
การลำเลียงปลากัด
เนื่องจากปลากัดเป็นปลาที่มีอวัยวะช่วยหายใจที่จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับพวก
Labyrinth Fish
จึงค่อนข้างมีความอดทน
ทำให้สามารถลำเลียงในภาชนะขนาดเล็กๆไปเป็นระยะทางไกลๆเป็นเวลานานได้โดยไม่ต้องมีการอัดออกซิเจน
วิธีการที่นิยมมากที่สุด
คือการลำเลียงโดยบรรจุในถุงพลาสติกขนาดเล็กๆโดยไม่ต้องอัดออกซิเจน
และใช้กระดาษห่อด้านนอกเพื่อให้ปลาสงบนิ่งทำให้ใช้พลังงานน้อยลง
หรือการใช้ภาชนะขนาดเล็กๆพอดีกับตัวปลา
ใส่น้ำพอท่วมตัวปลาโดยไม่ต้องปิดฝา
แล้ววางเรียงซ้อนกันในกล่องโฟมอีกทีหนึ่ง
ก็จะสามารถลำเลียงปลากัดได้คราวละจำนวนมากและเป็นระยะทางไกล
หรือลำเลียงแบบรวมในถุงพลาสติคขนาดใหญ่โดยใส่ปลาจำนวนมากในแต่ละถุง .
ภาพที่ 31 แสดงลักษณะการลำเลียงปลากัดโดยใช้ถุงพลาสติค(ซ้าย) กับในขวดขนาดเล็ก(กลางและขวา) .
ภาพที่
32
แสดงลักษณะการลำเลียงปลากัดแบบรวมโดยใช้ถุงพลาสติคขนาดใหญ่
เอกสารอ้างอิง สถาบันวิจัยสัตว์น้ำสวยงามและสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ.
2544. ปลากัด.
วารสารการประมง.
54:6 5
หน้า Nelson,
J. S. 1994. Fishes of the World, Third Edition.
600 pp. http://fighterbetta.s5.com/howto.html
http://ibc-smp.org/species/splendens.html
http://www.bettatalk.com/images/betta_in_a_vase.jpg
http://www.cbsbettas.org/petbetta.html
http://www.cleavelin.net/archives/DSC01048.JPG
http://www.plakatthai.com/bettasmaragdina
http://www.siamsbestbettas.com/gallery.html
|